Tuesday, December 29, 2009

เจาะใจนักเขียนสาวร้อนแรงแห่งเชียงใหม่ "คำ ผกา" ว่าด้วยเรื่องนู้ดจนถึงการเมือง

I was one of her fans (please don't get me wrong)--- may  be you want to be one too--- honest and refreshing.  Highly Recommend.

....
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1262081405&grpid=01&catid

วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:30:52 น.  มติชนออนไลน์  คลิ๊กเพื่อรับชมวีดีโอ 

เจาะใจนักเขียนสาวร้อนแรงแห่งเชียงใหม่ "คำ ผกา" ว่าด้วยเรื่องนู้ดจนถึงการเมือง

เจาะ ใจ "คำ ผกา" ว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์, ชีวิตวัยเด็ก, หนังสือ, การเป็นนักเรียนญี่ปุ่น, ความเป็นไทย, อาหาร, นางแบบนู้ด จนถึงเรื่องการเมือง (ชมคลิปวิดีโอ)

(ชมคลิปวิดีโอบันทึกการเสวนากับ "คำ ผกา" บางส่วนได้ที่ "สัญลักษณ์วิดีโอ" เหนือพาดหัวข่าว)

 

หลายคนคงรู้จักกับนักเขียนสาวร้อนแรงแห่งยุคอย่าง "คำ ผกา" หรือ "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" หรือในชื่อจริง "ลักขณา ปันวิชัย" ในฐานะนักเขียนที่ผลิตผลงานได้หลากหลายแนว นับ ตั้งแต่เรื่องวิพากษ์วิจารณ์สังคม-วัฒนธรรม-เพศสภาพ เรื่องความรัก เรื่อยไปจนถึงเรื่องอาหาร ต้นไม้ และการท่องเที่ยว รวมทั้งผลงานคอลัมน์วิพากษ์การเมืองที่สุดแสนจะดุเดือดใน "มติชนสุดสัปดาห์"


คำ ผกา บอกว่า เธอต้องเขียนงานหลากหลายแนวเพราะต้องการเก็บ (หรือเป็นคอลัมนิสต์ประจำ) หนังสือทุกแนวในตลาด เนื่องจากตนเองเป็นคนที่ยังชีพทางเศรษฐกิจด้วยการเขียนคอลัมน์ตามหน้า นิตยสาร ดังนั้น ถ้านิตยสารผู้หญิงไม่ให้เธอเขียนเรื่องการเมือง ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวมีความสนใจพื้นฐานในประเด็นเรื่องการเมืองและวัฒนธรรม เธอก็จำเป็นต้องประนีประนอมกับจุดยืนของนิตยสารเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม นักเขียนสาวร้อนแรงยืนยันว่างานเขียนทุกแนวที่มีความหลากหลายนั้นล้วนมาจากฐานคิดชุดเดียวกันของเธอ


เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ในงาน "เชียงใหม่ เอ็มไอซีที สร้างคน สร้างชาติ" ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการเสวนาเจาะใจ "คำ ผกา" โดยสองพิธีกร "อรินธรณ์" (อธิกร ศรียาสวิน) และ "หนุ่มเมืองจันท์" (สรกล อดุลยานนท์) โดยการพูดคุยดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจอันหลากหลายบนฐานคิดที่แข็ง แรงของนักเขียนสาวรายนี้ได้เป็นอย่างดี


"ประวัติศาสตร์"


ลักขณา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยหนึ่งในอาจารย์คนสำคัญของเธอก็คือ "นิธิ เอียวศรีวงศ์" จากนั้นเธอมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก สาขาประวัติศาสตร์ไทย ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น


สำหรับคำ ผกา การ เรียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่การต้องมานั่งอ่านเรื่องราวเก่าแก่ในพงศาวดาร แต่เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เธอต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเองเคยคิดว่ามัน เป็นเรื่อง "จริง" มาโดยตลอด


การ เป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เธอรู้ว่า "ประวัติศาสตร์" เป็น "เรื่องแต่ง" (fiction) ชนิดหนึ่ง การศึกษากระบวนการเขียนประวัติศาสตร์แต่ละสกุลในโลกใบนี้ หรือ การอยู่กับกระบวนการสร้างประวัติศาสตร์ จึงทำให้ลักขณาได้เรียนรู้ว่า "ประวัติศาสตร์" คือ การคัดกรองอดีตบางอย่างมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ทว่าเรื่องราวดังกล่าวก็มิได้มีสถานะเป็นทั้งหมดของอดีตแต่อย่างใด


การ เรียนประวัติศาสตร์จึงถือเป็นรากฐานทางความคิดสำคัญและเป็นการเปิด "โลกใหม่" ให้แก่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้เติบโตมาเป็น "คำ ผกา" ในวันนี้

 

ชีวิตวัยเด็ก


ลักขณาใช้ชีวิตวัยรุ่นที่บ้านสันคะยอม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่


เนื่อง จากแม่แท้ ๆ ให้กำเนิดเธอตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แม่จึงฝากเธอให้ตา-ยายเลี้ยงดูแทน กระทั่งคำ ผกา เรียกตา-ยายว่า "พ่อ-แม่" เธอมีน้า 2 คนเป็นกะเทย มีลุงเป็นคนติดเหล้า ส่วนตาก็ดื่มเหล้าทุกวันและเวลาเมาก็จะใช้กำลังตบตีกับยายนิดหน่อยอยู่เสมอ อีกทั้งคนในบ้านยังพูดจาด้วยภาษามึง-กูกันตลอดเวลา


เธอ อยู่ในบ้านที่มีกิจการขาย-เชือดหมู เธอจึงอยู่กับกระบวนการฆ่าหมูทุกวัน (จนสามารถรู้ได้ว่าเลือดส่วนไหนของหมูที่นำมาทำลาบได้อร่อยมาก) นอกจากนี้ ที่บ้านยังทำอิฐบล็อก เธอจึงได้เล่น คุย และย่างกระต่ายกับคนงานทำอิฐ ส่วนการที่ยายเปิดร้านขายเหล้า ก็ทำให้เธอได้รับฟังเรื่องราวหลากหลายจากผู้คนที่มากินเหล้าในร้าน


ตามความเห็นของคำ ผกา ชีวิตในวัยเด็กที่แลดูไม่ปกติเช่นนี้ได้ส่งผลให้เธอมี "ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม" เป็นอย่างมาก


ชีวิตในโรงเรียนคริสต์และโลกการอ่าน


ลักขณาเข้าเรียนที่โรงเรียน "ดาราวิทยาลัย"  โรงเรียน หญิงล้วนที่เป็นทั้งโรงเรียนคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ เป็นเพียวริแตน (ที่ยึดหลักความเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาทางศาสนา) และคอนเซอร์เวทีฟ (อนุรักษ์นิยม)


แม้ อาจมีลูกคนจนและคนรวยอยู่รวมกันในโรงเรียนแห่งนี้ ตั้งแต่ภารโรง ชาวบ้าน จนถึงไฮโซ แต่คำ ผกา ก็เห็นว่าแนวความคิดแบบคริสเตียนของโรงเรียนกลับมีประโยชน์อย่างหนึ่ง คือ ส่งผลให้ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างนักเรียน ด้วยหลักคิดที่ว่าทุกคนล้วนเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกันหมด


เพราะ ตา-ยายผู้เลี้ยงดูมีฐานะยากจน คำ ผกา จึงไม่ได้เข้าถึงแหล่งบันเทิงอื่น ๆ นอกจากการอ่านหนังสือในห้องสมุด ณ แหล่งบันเทิงดังกล่าว เธอได้ทำความรู้จักกับนิตยสารหัวก้าวหน้าอย่าง "โลกหนังสือ" "ถนนหนังสือ" และ "ศิลปวัฒนธรรม" เธอได้อ่านนิยายของ "ชาติ กอบจิตติ" ที่ทำให้ลักขณาเริ่มตั้งคำถามถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น เริ่มสงสัยว่าตกลงแล้วครอบครัวของตนเองเป็นคนจนหรือคนรวยกันแน่


จากนั้นเธอหันไปให้ความสนใจในผลงานของกลุ่มนักเขียนเพื่อชีวิตยุค 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เช่น งานของ "สิงห์สนามหลวง" (สุชาติ สวัสดิ์ศรี) และโลกการอ่านของเธอก็เปิดกว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมาเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ดังได้กล่าวไปแล้ว


แต่ ไม่ใช่แค่การอ่านหนังสือแนววรรณกรรมเพื่อชีวิตหรือหนังสือวิชาการเท่านั้น เพราะในอีกด้านหนึ่ง ลักขณาก็เป็นนักอ่านนิยายประโลมโลกย์/นิยายน้ำเน่าตัวยง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่องานเขียนของเธอในเวลาต่อมา


ชีวิตนักเรียนญี่ปุ่น


การไปเรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น ทำให้คำ ผกา ได้ไปยืนจากจุดยืนของคนอื่น แล้วลองหันกลับมามอง "ความเป็นไทย" ของตนเอง

 

เธอได้อ่านข้อมูลจากงานศึกษาทางด้าน "ไทยศึกษา" จำนวนมาก ที่ตนเองไม่เคยรับรู้มาก่อนขณะอยู่ในเมืองไทย เช่น ตระกูล เจ้าสัวทั้งหลายในสังคมไทยไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาจากความประหยัดมัธยัสถ์หรือ ความวิริยะอุตสาหะในลักษณะ "กัดก้อนเกลือกิน" หรือ "เสื่อผืนหมอนใบ" เพียงเท่านั้น แต่พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาจากการ "ฮั้ว" และการแต่งงานสานสายสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำต่าง ๆ รวมทั้งช่วงเวลาของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีส่วนเอื้อให้คนกลุ่มนี้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา


นอกจากนั้น สาวเชียงใหม่คนนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกรักชาติน้อยลง แต่กลับตั้งคำถามต่อเรื่อง "ชาติ" อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น


เธอ เริ่มสังเกตว่า แม้ญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นชาตินิยมสูง แต่ทำไมคนของเขาจึงไม่ต้องเคารพธงชาติกันทุกวันแบบในเมืองไทย นำไปสู่การตั้งคำถามว่า "ชาติ" ของญี่ปุ่นกับไทยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร?


ลักขณา จึงหันมาให้ความสนใจต่อประเด็นเรื่องการสร้างอัตลักษณ์ "ความเป็นไทย" และศึกษาเปรียบเทียบการสร้างอัตลักษณ์ของไทยกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และตุรกี ตามประสบการณ์การมองโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม เธอกลับเขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกไม่เสร็จ โดยมีเรื่องอกหักบ้าผู้ชายเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง


เข้าสู่โลกนักเขียน


เมื่อ รู้ตัวว่าไม่สามารถเขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกได้เสร็จแน่ ๆ ลักขณาจึงเริ่มหาช่องทางยังชีพให้แก่ตนเอง ซึ่งช่องทางดังกล่าวก็ได้แก่การมีอาชีพเป็นนักเขียน


เริ่มด้วยการเขียนคอลัมน์ "จดหมายจากเกียวโต" ในนามปากกา "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ยุคที่มี "รุ่งเรือง ปรีชากุล" เป็นบรรณาธิการ ซึ่งเป็นงานที่เขียนถึงวิถีชีวิตประจำวันอันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ธรรมดาของผู้คนญี่ปุ่นที่เธอได้พบ โดยส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการวิพากษ์งานเขียนเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นในสังคมไทย ที่ขับเน้นแต่เพียงประเด็นเรื่อง "ความคิขุอาโนเนะ" "หนังโป๊" "ความเพี้ยนวิปริต" หรือ "ความมีระเบียบวินัย" ของคนญี่ปุ่น


งานเขียนชุดนั้นได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี


งานเขียนชุดต่อมาคือ "กระทู้ดอกทอง" ภายใต้นามปากกา "คำ ผกา" ซึ่งนำโครงร่างและข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่ทำไม่เสร็จของเธอมา สานต่อเป็นงานเขียนที่ใช้ภาษาอ่านเข้าใจง่ายและสามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง


วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของลักขณาให้ความสนใจกับ 3 ประเด็นหลัก คือ "ความเป็นหญิงไทย" "การสร้างความเป็นไทย" และ "วรรณคดี (วรรณกรรม) ไทย" โดยคำถามสำคัญก็คือ "ชาติ" จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการร่วมเพศ และการร่วมเพศระหว่างหญิงกับหญิงหรือชายกับชายก็ไม่ทำให้เกิด "ชาติ" ดังนั้น "ชาติ" จึงต้องการให้ชายและหญิงร่วมเพศกันเพื่อนำไปสู่การสร้างชาติ ในการนี้ จึงต้องมีการสร้างลักษณะของ "ชาย" และ "หญิง" ในรูปแบบที่ชาติต้องการขึ้นมา ขณะเดียวกัน นวนิยายไทยยุคใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 2470 ที่เป็นยุคแห่งการสร้างชาติพอดี


ประเด็นสำคัญใน "กระทู้ดอกทอง" จึงได้แก่ นวนิยายไทยยุคใหม่ได้สร้างภาพ "หญิง" ที่ดีและเลวออกมาอย่างไร เพื่อรองรับกับอุดมการณ์เรื่อง "ความเป็นหญิงไทย" และ "ความเป็นไทย" ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น


ด้วย ประเด็นวิพากษ์และการใช้ภาษาที่ดุเดือดรุนแรงในงานชุดกระทู้ดอกทองจึงส่งผล ให้เริ่มมีกระแส "เกลียด" งานเขียนของ "คำ ผกา" แต่ยังชื่นชอบงานเขียนของ "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" อยู่ ซึ่งลักขณาบอกว่า นอกจากจะใช้นามปากกาคนละชื่อกันแล้ว เธอก็ยังใช้ชุดภาษาที่แตกต่างกันในการเขียนงานด้วยสองนามปากกาดังกล่าวอีก ด้วย


อย่างไรก็ตาม ลักขณาชอบทุกตัวตนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" หรือ "คำ ผกา" เพราะทุกนามปากกาที่แตกต่างกันนั้นก็คือตัวตนของเธอทั้งหมด และเธอยังไม่ยอมให้คำนิยามว่าตัวตนที่แน่ชัดของ "คำ ผกา" คืออะไร เพราะเธอไม่ต้องการจะอยู่ในกรอบที่เป็นการขีดเส้นจำกัดตัวเอง


ชีวิตแม่ครัว


ด้วยความที่คลุกคลีกับเรื่องอาหารมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงสนใจในเรื่องเหล่านี้ จนถึงขั้นเคยไปประกอบอาชีพเป็น "แม่ครัว" ในประเทศญี่ปุ่น เพราะอยากรวยมาแล้ว


เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอเคยทำอาหารไทยเลี้ยง "ปราโมทยา อนันตา ตูร์" นักประพันธ์ผู้ลือนามชาวอินโดนีเซีย จากนั้นสำนักพิมพ์แม่โขงจึงติดต่อให้เธอไปเขียนหนังสือคู่มือประกอบอาหารไทย เป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อวางจำหน่าย ซึ่งยอดขายก็เป็นไปด้วยดี


จนลูกศิษย์ชาวญี่ปุ่นเพศชายวัยร่วมสี่สิบที่มาเรียนภาษาไทยกับเธอ ชักชวนให้คำ ผกาไปเป็น "เชฟ" ประจำร้านอาหารไทยชื่อ "ช้างน้อย" ที่เขาจะลงทุนก่อตั้งขึ้น


คำ ผกา ใฝ่ฝันว่าตนเองจะได้ตกแต่งร้านอาหารเก๋ ๆ และเป็นเชฟใหญ่ที่คอยเดินทักทายลูกค้าซึ่งมาทานอาหารภายในร้าน


แต่ สุดท้ายเธอก็พบว่าอาชีพแม่ครัวนั้นเป็นงานที่เหนื่อยและทำให้ตัวเหม็นเป็น อย่างมาก อีกทั้งลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นนายทุนร้านอาหารของเธอก็เป็นลูกคุณหนู ผู้ไม่เคยทำมาหากินมาตลอดชีวิต และต้องการเพียงวัตถุดิบชั้นดีมาประกอบอาหาร จึงส่งผลให้ร้านอาหารช้างน้อยไม่ประสบความสำเร็จถึงขั้นร่ำรวย แม้จะเคยมีชาวญี่ปุ่นมาเข้าคิวรอทานอาหารหน้าร้าน จนสามารถเก็บรายได้ถึง 3 แสนเยนต่อหนึ่งคืนก็ตาม


นางแบบนู้ด


นอกจากเคยเป็นแม่ครัวแล้ว คำ ผกา ยังเคยถ่ายนู้ดลงนิตยสารผู้ชายชื่อดังอย่าง "จีเอ็ม" ด้วย ความรำคาญที่ว่ารัฐไทยชอบมายุ่มย่ามกับการจับปฏิทินโป๊หรือเรื่องนมหกอยู่ ตลอดเวลา ส่วนเหล่านางแบบก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจ แต่กลับไม่ยอมเถียง ปกป้องตัวเอง และอธิบายกลับไปยังรัฐว่า "แฟชั่น" คืออะไร ทั้งยังไม่ยอมรับกันว่าตัวเองถ่ายนู้ดเพื่อเงิน โดยไม่ต้องมาอ้างเหตุผลปลอดเชื้อที่แลดูดี เช่น ต้องการนำเงินค่าถ่ายนู้ดไปรักษาแม่ที่กำลังป่วย


คำ ผกา บอกว่า การถ่ายนู้ดของเธอเป็นการเล่น/ตั้งคำถามกับสังคมว่า แต่ละส่วนของร่างกายอันเปลือยเปล่าที่ถูกฉายภาพออกไปสู่สาธารณะนั้น ถูกสร้างความหมายขึ้นมาอย่างไรบ้าง? (เช่น ความโป๊ในแต่ละยุคสมัยก็ถูกสร้างความหมายที่แตกต่างกันออกไป)


คอลัมนิสต์สุดร้อนแรง (แดง สันคะยอม) แห่งมติชนสุดสัปดาห์


ล่าสุด คำ ผกา ได้เขียนงานลงในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ว่ากันว่างานเขียนของเธอถือเป็น "คอลัมน์การเมือง" ที่มีปฏิกิริยาทางจดหมายตอบกลับมาอย่างรุนแรงและเนืองแน่นมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคราวที่บทความชื่อ "หยุดให้ท้ายพันธมิตร" และ "นับแต่นี้ไปไม่เหมือนเดิม" ได้รับการเผยแพร่ออกไป


จุดยืนในการเขียนคอลัมน์ให้มติชนสุดสัปดาห์ของเธอก็คือ การ แสดงความไม่เห็นด้วยต่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และลักษณะสองมาตรฐานในสังคมไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยความรู้สึกว่าทำไมจึงไม่มีใครเขียนบทความต่อต้านเรื่องดังกล่าวออกมาให้ "ซื่อ" "ง่าย" "ตรง" และมี"สามัญสำนึกแบบชาวบ้าน" มากที่สุด


เธอ เห็นว่าแม้เราจะเกลียดทักษิณมากเพียงใด แต่ก็ต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเอาไว้ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ถูกผิดกับมันไป อย่าไปตัดตอนมัน เพื่อรีบหาทางออกซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครมองเห็น แต่ต้องพยายามถกเถียงกัน ด้วยความเชื่อที่ว่าความขัดแย้งและการถกเถียงจะทำให้ผู้คนในสังคมค่อย ๆ เติบโตขึ้น ไม่ใช่ไปแก้ปัญหาด้วยการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและห้ามมีการถกเถียง กระทั่งผู้คนในประเทศนี้กลายเป็นเด็กที่ง่อยเปลี้ยเสียขาต้องนั่งรถเข็นรออะไรบางอย่างมาโปรดเราไปตลอดชีวิต


ด้วยความคิดเช่นนี้เอง ที่ทำให้มีนักวิชาการคนหนึ่งแซวว่าเธอเป็น "แดง สันคะยอม"


สุดท้าย นักเขียนสาวชื่อดังแห่งยุคได้ฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยว่า อย่า สมยอมกับการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและการปิดกั้นเสรีภาพ รวมถึงการทำร้ายประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม และถึงเวลาแล้วที่เราต้องขึ้นมาต่อสู้กันเสียที


นี่เป็นคำกล่าวปิดท้ายสุดร้อนแรงของ "คำ ผกา"


 

(โปรดติดตามอ่าน เรื่องตลกในบทเพลงของ "วิฑูรย์ ใจพรหม" จากการถ่ายทอดของ "คำ ผกา" ได้ในวันพรุ่งนี้)




อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เจาะใจ "คำ ผกา": "ประวัติศาสตร์" ทำให้เธอได้รู้จักกับ "โลกใบใหม่"

No comments:

Post a Comment