Sunday, January 17, 2010

ที่ดินเขายายเที่ยงกับเงิน ๗๖,๐๐๐ ล้าน

คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 33
โดย จักรภพ เพ็ญแข

เรื่อง ที่ดินเขายายเที่ยงกับเงิน ๗๖,๐๐๐ ล้าน

 

น่าดีใจที่สมรภูมิการเมืองในเมืองไทยชัดเจนขึ้นทุกวัน มวลชนเข้าใจแล้วว่าสามปีที่ผ่านมาและต่อไปคือการสู้รบในเชิงระบอบ (regime) ไม่ใช่เพียงแข่งขันเป็นรัฐบาล หรือแค่มุ่งหวังให้ฝ่ายอำนาจเก่านิรโทษกรรมให้กับฝ่ายอำนาจใหม่และอยู่กันต่อไปอย่างผาสุกเหมือนในนวนิยาย

แบ่งข้างชัดเจนระหว่างระบอบประชาชน (ประชาธิปไตย) กับระบอบเหนือประชาชน (เผด็จการอำมาตยาธิปไตย)

 

คนที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงกลางคือ ๑) คนที่ยังไม่รู้ ๒) คนที่รู้แล้วแต่ไม่เลือกข้าง ๓) คนที่รอตามแห่ (ชนะไหนเอาด้วย)

 

ผมไม่จัดคนประเภทที่พูดเสมอว่า ไม่สนใจ หรือ ไม่ชอบการเมือง ไว้เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะหากท่านเหล่านี้รู้ถึงเดิมพันชีวิตของตัวเอง ครอบครัว และลูกหลานของเขาที่แขวนอยู่กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทยในขณะนี้แล้ว เขาจะต้องบังคับตัวเองให้สนใจและใส่ใจ ผู้ที่มักกล่าวอ้างเช่นนี้จึงถือว่าอยู่รวมกับกลุ่มที่ ๑ คือคนที่ยังไม่รู้

 

สิ่งหนึ่งที่ชี้ว่าทั้งสองระบอบได้เข้าสู่ระยะเผชิญหน้ากันแล้วคือ ประเด็นของฝ่ายประชาธิปไตยว่าด้วยที่ดินบนเขายายเที่ยงของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีของคณะรัฐประหาร และประเด็นเงินอายัด ๗๖,๐๐๐ ล้านบาทของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้ถูกรัฐประหาร

 

ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง

 

มองประเด็นที่ดินบนเขายายเที่ยงให้ลึก เราจะพบอะไรในเชิงระบอบและโครงสร้างสังคมไทยได้มาก

 

คนเป็นจำนวนมากเชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เกี่ยวข้องกับการวางแผนโค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนมาตลอด การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกและคนเดียวของ คมช. ช่วยตอกย้ำความเชื่อนี้

ความแค้นเฉพาะตัวคือกรณีเมียนมาร์ที่สั่งให้ทหารไทยปลอมเป็นไทยใหญ่ แล้วเข้าไปฆ่าทหารเมียนมาร์เสียหลายร้อยคนขณะเป็นผู้บัญชาการทหารบก จนในที่สุดกลายเป็นเหตุผลหลักที่ถูกแขวนในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

 

แต่ความแค้นในระดับระบอบเกิดขึ้นในใจของคนที่สูงกว่าพลเอกสุรยุทธ์ฯ โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ในเวลาต่อมาปฏิเสธไม่อนุมัติงบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถถังที่นำไปปฏิบัติการ จนต้องจอดเรียงรายข้างถนน พลเอกสุรยุทธ์ฯ และพลเอกเปรมฯ จึงใช้เรื่องนี้เป็นเหตุจูงใจให้คนที่อยู่สูงขึ้นไปร่วมเกลียดชังคุณทักษิณฯ ขึ้นอีก

 

แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าพลเอกสุรยุทธ์ฯ ชิงชังคุณทักษิณฯ ลึกซึ้งกว่านั้น คนๆ นี้ภูมิใจว่าตัวเองเป็นนายพลปัญญาชนและเคยเรืองแสงอยู่ในหมู่นักวิชาการในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่เมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้น ปลาใหญ่ในบ่อน้อยอย่างคุณสุรยุทธ์ฯ ก็ลดสภาพเป็นเพียงสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ในบ่อ เมื่อผนวกเรื่องนี้เข้ากับการสั่งลดอำนาจอย่างฉับพลันในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ซึ่งถือเป็นความปรานีแล้ว เพราะโทษฐานที่เคลื่อนกำลังโดยไม่ขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาที่เป็นหน่วยเหนือหนักหน่วงกว่านั้นมาก) เรื่องจึงกลายเป็นแค้นที่ต้องชำระขึ้นมา

ส่วนลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พลเอกสุรยุทธ์ฯ ดูจะลุ่มหลงเลื่อมใส ขนาดรับเป็นโยมอุปฐากคนสำคัญของเครือข่ายพัฒนาชาติไทยหรืออดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ฯ มาจนถึงปัจจุบัน จนเกิดแนวคิดว่าคุณทักษิณฯ เป็นนายทุนที่ต้องกำจัดให้สิ้นซากหรือไม่นั้น ผมบอกไม่ได้ ได้แต่สังเกตการณ์ประเด็นนี้อย่างเงียบๆ

 

การชี้เป้าไปที่กรณีที่ดินเขายายเที่ยงมีความหมายมากกว่าตัวคุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยา เอาสองคนนี้ไปเข้าคุกได้ก็ไม่เท่ากับการกระชากหน้ากากของระบอบอำมาตย์เมืองไทยจากภาพลักษณ์อย่าง พระเอกและ คนดีศรีสังคมเพื่อให้คนทั้งชาติรู้ว่าสันดานอำมาตย์ไทยแท้ที่จริงเป็นฉันใด

คำถามต่อสังคมไทยในกรณีคุณสุรยุทธ์ฯ ได้แก่

 

๑. คุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยากระทำความผิดอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีความผิด

 

๒. เมื่อประชาชนจะเอาเรื่องกับคุณสุรยุทธ์ฯ และภรรยา ระบอบอำมาตย์จะกรีธาทัพเข้ามาช่วย พวกของตัวอย่างไร ไม่กี่วันมานี้เราเห็นบทบาทของหน่วยหน้าอย่างกองทัพภาคที่ ๒ กรมป่าไม้และสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว เราจะได้รับรู้ร่วมกันต่อไปว่า พวกเขาประกอบด้วยใครอีกบ้าง

๓. จะมีความยุติธรรมไหลลงมาจาก ยอดดอยบ้างหรือไม่

 

ส่วนฝ่ายอำมาตย์ เมื่อตระหนักความจริงที่ว่าขบวนการประชาธิปไตยของสังคมไทยแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ไม่ใช่มาจากกระแสเงินของคุณทักษิณฯ เพราะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันเสียทีและมีหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ก็ต้องโหมทำสงครามสื่อรอบสุดท้ายด้วยการหยิบยกประเด็นเงินอายัด ๗๖,๐๐๐ ล้าน

 

ขบวนการโฆษณาชวนเชื่อของอำมาตย์พยายามชี้นำสังคมไทยอย่างสุดฤทธิ์ว่า คุณทักษิณฯ และครอบครัวเคลื่อนไหวมาทั้งหมดก็เพื่อให้ได้เงินที่ถูกอายัดนี้คืน ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตยเลย

เจตนาของอำมาตย์คือทำให้พลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์เกิดลังเลใจว่า ควรสนับสนุนคุณทักษิณฯ ต่อไปหรือควรถอนตัวไปอยู่บ้านเฉยๆ

 

หวังเอาไว้มากทีเดียวว่า ความลังเลใจเช่นนั้นจะทำให้พลังต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยลดลงอย่างฮวบฮาบ

 

กรณีเงิน ๗๖,๐๐๐ ล้านจึงชี้ว่ากระบวนคิดของอำมาตย์ไทยผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ใน ๒ ข้อคือ

 

๑. เชื่อว่าพลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์ออกมาเพื่อคุณทักษิณฯ คนเดียว คิดว่าคนค่อนประเทศยอมต่อสู้มาจนบัดนี้และเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพราะเป็นแฟนคลับคุณทักษิณฯ เพียงโจมตีเจตนาของคุณทักษิณฯ ให้เปรี้ยงปร้างครึกโครม ขบวนการประชาธิปไตยก็จะถอยร่นจนตกรางไปได้

 

๒. เชื่อว่าคุณทักษิณฯ และครอบครัวจะยอมตามอำมาตย์ในทุกเรื่อง หากอำมาตย์เอา ๗๖,๐๐๐ ล้านมาเป็นเหยื่อล่อ โดยไม่คิดว่าคุณทักษิณฯ และครอบครัวโดนกระหน่ำซ้ำเติมมาอย่างสาหัสจนรู้ซึ้งแล้วว่าหากไม่ต่อสู้ให้ถึงที่สุดโดยยึดบ้านเมืองและประชาชนเป็นหลักแล้ว อย่าว่าแต่เงิน ๗๖,๐๐๐ ล้านนี้เลย แม้แต่ชีวิตเขาก็ไม่ปล่อยให้เหลือ

 

ขณะนี้ขบวนการต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยมาไกลมากแล้ว ตัวนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร อาจเป็นแม่ทัพสำคัญอันดับหนึ่ง แต่ตัวขบวนการก็เริ่มมีชีวิตของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกวัน จนถึงขั้นสร้างตัวตายตัวแทนเอาไว้ได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณฝ่ายอำมาตย์ที่เลวร้ายอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ขบวนการประชาธิปไตยกลายเป็นทางเลือกโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นทาสใคร

 

ระบอบประชาชนหยิบประเด็นสุรยุทธ์และเขายายเที่ยงมาเป็นขุนหมู่ทะลวงฟัน เป้าหมายใหญ่คือขุดรากถอนโคนระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทย

 

ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยพยายามทำลายเกียรติยศของฝ่ายประชาธิปไตยโดยเอาไปผูกกับเงิน ๗๖,๐๐๐ ล้านบาทและลดขนาดของคุณทักษิณฯ

 

สงครามคราวนี้จึงออกจะมีสีสันและสำคัญอย่างมากต่ออนาคตของคนไทยทุกคน

 

วันนี้เราชาวประชาธิปไตยร่วมต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ใช่อะไรเล็กน้อยเลย

และวันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ต่อจากการรัฐประหารเพียงวันเดียว แต่เป็นวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๗๕ รุ่งขึ้นจากวันอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองครับ

 

งานของเรายังมีอีกมากนัก.

 

-------------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

 

No comments:

Post a Comment