เมื่อผู้กำกับ "รักแห่งสยาม" เขียนจดหมายตอบน้องเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์ 10 เมษายน
...เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชนชั้นสูงอย่างเต็มตัว...
หมายเหตุ "ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" หรือ "มะเดี่ยว" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม"รวมทั้งหนังสะท้อนปัญหาสังคมไทยในยุคปลายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หลาย ๆ เรื่อง เช่น"คน ผี ปีศาจ" และ "13 เกมสยอง" ได้เขียนจดหมายตอบกลับไปยังเพื่อนรุ่นน้องที่เข้ามาระบายอารมณ์ความรู้สึกผิดหวังเสียใจกับปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่มีต่อเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 10 เมษายน โดยเขาได้นำเนื้อหาในจดหมายดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในเว็บล็อกส่วนตัว http://mdsponx.spaces.live.com มติชนออนไลน์เห็นว่าจดหมายของชูเกียรติมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้
//////////
13 เมษายน
โยนิโสมนสิการ
จากที่ได้ป่าวประกาศไปในเฟศบุคว่าจะทำรายการตอบคำถาม ก็มีผู้คนส่งคำถามมามากมาย มีไม่น้อยที่เปนคำถามเกี่ยวกับสังคมและการเมือง จะอ่านตอบลงไปในยูทูปก็เกรงใจเพราะว่าในการดำเนินรายการหมายมุ่งว่าทำเพื่อความบันเทิงเริงใจ การค้นหาความจริงทางสังคมและการเมืองตอนนี้มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมากมายอยู่แล้วจึงปล่อยให้เปนหน้าที่ของท่านเหล่านั้นไป
หากแต่ก็ยังมีความกลัดใจอยู่ไม่น้อยในประเด็นความขัดแย้งแลความเศร้าที่ต้องมีผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บไปในเหตุการณ์ จึงหยิบจดหมายของน้องคนหนึ่งที่เขียนมาในใจความถามว่า เขาควรทำอย่างไรดีเมื่อเริ่มขัดแย้งกับเพื่อนในเฟศบุคเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่เปนเพื่อนสนิทที่นิสัยดี พอความขัดแย้งเกิดขึ้นเขาและเธอว์เหล่านั้นต่างแสดงตัวตนที่โหดเหี้ยมอำมหิตออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ จดหมายส่งมาถึงข้าพเจ้าหลายวันหากแต่ยังไม่ได้ตอบ แล้วไม่นาน น้องคนนั้นก็นำไปเขียนลงบลอกด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ แฝงความทุกข์ใจที่เสียเพื่อนอยู่ในที เจือระคนด้วยความโกรธเคืองอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคล แต่ยังแผ่ลามไปถึงสังคม แลทุกสิ่งที่ปลูกความคิดอัปยศเหล่านั้นให้เพื่อนของเขา จึงขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านในบลอกนี้ ก่อนที่จะอ่านจดหมายตอบกลับของข้าพเจ้าต่อไป
http://nanoguy.exteen.com/20100412/entry
จดหมายถึงน้อง
ตี้น้องรัก
จากคำถามสั้น ๆ วันก่อนที่เธอว์ได้ถามพี่มา บัดนี้ได้แจกแจงรายละเอียดจนเห็นภาพชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องจินตนาการใด ๆ เพราะรอบข้างตัวพี่ ตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอว์ เหล่านั้นเราต่างประสบปัญหานี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ตัวพี่เองที่วันนี้คงพูดไม่ได้แล้วว่าเปนกลางทางการเมือง
การออกตัวว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเปนเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากในสังคมกรุงเทพสาธารณะ (ในที่นี้หมายถึงในโลกไซเบอร์นี้ด้วย) เพราะเราจะถูกชี้หน้าด่าทันทีว่าเปนลิ่วล้อของทักษิณ เปนคนโง่ที่ถูกล้างสมอง ไร้การศึกษา ชีวิตมีค่าเพียงธุลีดิน และถูกเกลียดชังไปในทันที แต่พี่ว่าการออกตัวอย่างชัดเจนยังดีกว่าการออกตัวว่าเปนกลางแล้วซ่อนความยินดีอำมหิตอยู่ภายในอย่างคนที่ตี้ได้เจอ คนพวกนี้เขาไม่ถามเราหรอกว่าทำไมเราถึงเห็นด้วยกับเสื้อแดง เหมือนที่เขาตอบเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเกลียดทักษิณ แล้วส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไม่ได้ด้วยว่าทักษิณทำผิดอะไร มักจะเชื่อเพราะเขาบอกมา เชื่อเพราะเขาพูดกัน เชื่อเพราะสื่อชี้ให้เห็นเปนแบบนี้ และที่น่าเศร้า เชื่อ เพราะกลัวจะถูกหาว่าไม่ฉลาดทันคน
พี่ทำหนังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบมหาวิทยาลัยจนถึงเรื่องสิบสามเกมสยอง ก่อนที่รัฐบาลของเขาจะถูกรัฐประหารในคืนที่ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่ที่พูดถึงในเนื้องานคือเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสงครามยาบ้าอันเปนนโยบายของรัฐบาล เรื่องการแทรกแซงสื่อและนโยบายประชานิยม พี่ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องการเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตต่าง ๆ ที่เขายกมาเปนประเด็นในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงตำแหน่งนั่นเปนเพราะว่าพี่ไม่เข้าใจระบบภาษี ไม่เข้าใจวิธีการฟอกเงิน การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดที่เราไม่รู้แจ้งจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นักเพราะวันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ อาจจะย้อนมาหาตัวเราเองอนึ่ง หากจะพูดเรื่องภาษี พี่ก็ยังเห็นคนรอบข้างตั้งหลายคนพยายามหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเช่นกันและที่ไม่น่าพูดถึงเลยก็มีคนในประเทศนี้ตั้งหลายคนที่ไม่ต้องเสียภาษีและก็ใช้ทรัพยากรเดียวกันบนผืนแผ่นดินไทย รวมถึงพี่ด้วย ที่บางอารมณ์เมื่อนึกถึงความทุจริตที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในหน่วยงานของรัฐ พี่ก็ไม่อยากจะเสียภาษีเหมือนกัน แต่ก็เลี่ยงไมได้เพราะหัก ณ ที่จ่ายเงินทุกครั้งเมื่อพี่ได้รับค่าจ้าง
เราคงไม่ต้องอธิบายแรงผลักดันในการออกมาต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้าให้เสียเวลาเพราะมีคนได้อธิบายไปแทบจนหมดสิ้นแล้วแต่คนส่วนใหญ่ในเมืองก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าใจ อาจจะเปนเพราะชาวนาในความคิดเขาก็ยังเอาควายไถนาเกี่ยวข้าว สวมงอบกันเหมือนในโปสการ์ดของการท่องเที่ยวฯ ความยากจนและการถูกกดขี่มันเปนอย่างไรคงยากจะจินตนาการถึงในสังคมของผู้ที่ร้องเรียนทุกอย่างได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เรื่องของแถมจากการชิงโชคสินค้าไปจนถึงโดยแย่งอาหารในชาบูชิ บุฟเฟต์ ไม่ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเปนการทำลายธุรกิจ การใช้จ่ายอันศรีวิไลซ์และความสำราญสะดวกสบายของเขาเหล่านั้น มากกว่าจะเปนการเรียกร้องความเปนธรรมทางการเมืองที่เขาถูกลิดรอนมาหลายทศวรรษแล้ว
มีคำถามของน้องคนหนึ่งชื่อ "ปาริณ" ถามได้น่าสนใจว่า "ใครคือชนชั้นกลาง" เปนคำถามที่ดีมากสำหรับเด็กมัธยมผู้ใฝ่รู้ จริงแล้วแต่ละสาขาก็มีอรรถาธิบายต่อคำว่าชนชั้นกลางของตัวเอง ทางรัฐศาสตร์ก็แบบนึง เศรษฐศาสตร์ก็แบบนึง สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ก็อีกแบบนึงแล้วแต่จะพูดไป แต่สรุปรวมคำอธิบายในแบบของพี่ ชนชั้นกลางคือผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ทำงานอยู่ในระบบธุรกิจ จุดมุ่งหมายของชนชั้นกลางคือการถีบตัวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นในระดับชนชั้นสูง คนพวกนี้มีความอ่อนไหวเปราะบางทางความรู้สึกเพราะชีวิตของพวกเขาไม่มีความมั่นคง เกือบทั้งหมดมีหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเปนบ้านหรือรถ หรือธุรกิจ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกังวลในใจตลอดเวลาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองและต้องการหาแหล่งอำนาจไว้พึ่งพิง ชนชั้นกลางอ่อนไหวกับข่าว เชื่อสื่อง่ายโดยเฉพาะสื่อทางเลือกอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต และเคเบิลทีวีพวกเขาพร้อมใจจะเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ข่าวซุบซิบ หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า "ข่าววงใน" สิ่งที่พวกเขากลัวคือการตามไม่ทันกระแส โดยเฉพาะยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้ใครรู้ก่อน ปล่อยข่าวได้ก่อน ย่อมได้รับการยกย่องราวกับเปนกูรู ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากรายการแฉที่ได้รับความนิยมมากมาย พิธีกรหรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงในการแฉไม่ว่าจะเปน มดดำ ซ้อเจ็ด หรือช่องเคเบิลใด ๆ ที่เปิดแล้วมีแต่กระเทยมาเม้าธ์กัน ตอนนี้มีมากมายและได้รับการยกย่องเสียด้วย ในขณะที่เราถูกสอนว่าการนินทาผู้อื่นนั้นไม่ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก แต่ทำไมถึง...
ช่างมัน เรามานินทาชนชั้นกลางกันต่อ ด้วยรู้จุดอ่อนข้างต้น ชนชั้นปกครองจึงหลอกเอาขนมผสมน้ำยาได้โดยง่าย ด้วยสื่อที่เปนของทหารและรัฐเกือบทั้งหมดเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไรได้โดยง่าย เรียนนิเทศมาสื่อแบบนี้เขาบอกว่าเปนสื่อของรัฐบาลเผด็จการทหาร ไม่ใช่สื่อของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะถ้าเปนเช่นนั้นจริง ฟรีทีวีเราคงมีมากกว่าสิบช่องให้มีการแข่งขันเสรีมากกว่าจะต้องทนดูอะไรห่วย ๆ โง่ ๆ ไร้รสนิยม ที่รัฐและนายทุนสื่อที่มีอยู่ไม่กี่เจ้ายัดเยียดให้เราดูแล้วบอกว่า "ชาวบ้านเขาต้องการแบบนี้" ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากดูแบบนี้หรือไม่มีปัญญาทำแบบอื่น หรือกลัวเขาจะฉลาดขึ้นมา
นอกเรื่องอีกแล้ว มาเรื่องชนชั้นกลางต่อ อย่าหาว่าเม้าธ์เลย ชนชั้นกลางไม่ค่อยแคร์ต่อความเปนไปของโลกมากนักจนกว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาถึงตัว ในวัยมหาลัยเขาไปค่ายอาสากัน แต่ก็เหมือนไปเที่ยวไปกอบโกยความสนุกจากชาวบ้านแล้วก็สร้างห้องสมุด ห้องน้ำ โรงอาหารให้เขาอย่างที่เขาต้องการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วทุกคนก็ลืมไปสิ้นเมื่อตอนแวะตลาดซื้อของฝาก เขาไปเที่ยวชนบทเพื่อดูความเรียบง่าย พอเพียง ทางอุดมคติก่อนจะกลับมาชอปปิ้งในห้างหรูด้วยบัตรเครดิตที่หมุนเดือนชนเดือน แล้วเขาก็ด่าคนที่มาชุมนุมเหยียดหยามเขาเหมือนไม่ใช่คน ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเปนลุงป้าน้าอาที่เคยไปสร้างห้องสมุด โรงอาหารให้กับเขาเมื่อไปค่ายก็เปนได้ เขาไปวัดปล่อยนกปล่อยปลาถวายสังฆทาน แต่ไม่ฟังเทศน์ หลายคนอ่านหนังสือพระดังแต่ไม่รู้จัก "กาลามสูตร" เข้าใจว่าเปน "กามสูตร" หากลองปฏิบัติตาม กาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พี่เชื่อว่าหลายคนคงเปนอิสระจากการครอบงำทางความคิดและเกิด "โยนิโสมนสิการ" ซึ่งไม่ใช่ความยินดีในโยนี แต่ลองไปเปิดหาความหมายเอาเองเถิด
แล้วที่เม้าธ์ชนชั้นกลางมาหลายย่อหน้านี้มันตอบคำถามใดของตี้ หากตี้มีโยนิโสมนสิการแล้วก็จะเข้าใจว่า น้องคนที่เขามีความยินดีในความตายของผู้คนเหล่านั้นเขาเปนชนชั้นกลางที่ขาดซึ่งวิจารณญาณโดยแท้ อาจจะเปนความเยาว์ความเขลาของนาง หรือสื่อที่บิดเบือนโลกของนางไปให้เห็นกงจักรเปนดอกบัว เห็นความตายเปนเรื่องน่ายินดี เห็นความแตกต่างทางการเมืองเปนเรื่องที่ต้องเอามาตัดสินคนว่าโง่เง่าต่ำตม ถ้าเปนพี่ก็คงช็อคมิใช่น้อยถ้าได้เห็นการเอารูปคนตายมาหยามเกียรติและชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์นี้มองในแง่ดีเราก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเหมือนกันนะตี้ มันทำให้เรามีตาทิพย์ เพราะขณะที่คนอื่นมองเห็นความศรีวิไลซ์ของน้อง ๆ เหล่านั้นว่าเปนคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีการศึกษาและเปนอนาคตของชาติ แต่เรามองเห็นด้านของปีศาจร้าย ความกักฬะโสมม ที่อยู่ในใจนาง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องความเชื่อทางการเมือง แต่เปนเรื่องของสภาพจิตใจมากกว่า
เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ เรายังเชื่อในอำนาจนิยม วันหนึ่งที่เรามีอำนาจเราก็จะกลายเปนปีศาจร้ายทำลายได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิตคนได้อย่างสนุกสนาน คิดดูว่าแค่มีอำนาจในมือในการพิมพ์คีย์บอร์ดยังเปนได้ขนาดนี้ วันหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ชี้เปนชี้ตายคนพวกเขาจะสนุกสนานขนาดไหน แล้วเราจะหวังอะไรกับอนาคตของชาติที่เปนแบบนี้
ความหวังเรื่องสันติยังคงมืดมน แม้ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปปัตย์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรว่าการชุมนุมจะเลิกรา พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังขออุทธรณ์ดิ้นรนเอาชีวิตรอด หรือถึงแม้จะเลิกชุมนุมไปแล้วการหวนกลับมาของทักษิณก็อาจจะมีการชุมนุมครั้งใหม่ของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ทักษิณถูกประหัตประหารไป แต่เชื่อไหม ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป นายกรัฐมนตรีสุดหล่อเคยออกมาบอกว่าอย่าเอาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นมาเปนเงื่อนไขในการชุมนุม แต่ในความเปนจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั่นแหละคือปัญหาหลักของประเทศนี้
ชนชั้นสูงรู้ดีว่าตัวเองมีอะไรอยู่ในมือและชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากเกิดความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นล่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรและชีวิตของพวกเขามันต่ำต้อยแค่ไหนในระบบเผด็จการทหารห่อประชาธิปไตย (เหมือนผัดไทห่อไข่) ทุกประเทศเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เว้นเวียตนามและกัมพูชา เมื่อคนที่ยากแค้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและพวกเขาก็ชนะ พี่เชื่อว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นแน่นอน เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชนชั้นสูงอย่างเต็มตัว
ประเทศเราไม่มีทางเปนเหมือนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนถูกเสี้ยมให้เกลียดกันแล้วรอยร้าวนี้ก็ยากจะสมาน ต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ไว้ด้วยตรงที่ขยันออกข่าวสร้างภาพความเลวร้ายของคนเสื้อแดง ใส่สีตีไข่ จนทำให้คนเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ รัฐอาจจะต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น สิ่งนั้นอาจจะสำคัญมากกว่าความเข้าอกเข้าใจกันของคนในชาติ
มันอาจจะฟังดูอุดมคติ แต่จริงแล้วเมื่อคนเข้าใจกันว่าเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองในสังคม ไม่ได้มีใครสำคัญกว่าใครเราเปนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ที่เท่าเทียมกันคือหมุนประเทศนี้ต่อไปข้างหน้า เราเข้าใจว่าเราเองก็ไม่อยากจน ไม่อยากลำบาก และคนอื่นก็เช่นกัน ใครก็อยากรวย อยากสุขสบาย เราจะไปบอกคนอื่นว่าเกิดมาจนก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงไปสิมันไม่ได้หรอก เพราะลองถามตัวเองจะให้ไปอยู่อย่างนั้นเอาไหม เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉะนั้น กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย คนกรุงเทพไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนต่างจังหวัดไม่ใช่คนโง่ เขาตื่นแล้ว ความยากจนข้นแค้น มันเรียกร้องให้เขาหาคำตอบว่าทำไมชีวิตเขาถึงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้สักที วันหนึ่งเมื่อเขาเจอคำตอบเขาก็ไม่เชื่อสื่อของรัฐอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้เกียจคร้านและแบมือขอ พวกเขาทำงานหนักกว่าเราที่ทำงานในเมือง แต่ค่าตอบแทนมันต่างกันลิบลับ เราร้อนเราเปิดแอร์ แต่เขาร้อนนั่นคือพืชผลถูกทำลายและหมายถึงเจ๊งๆ ๆ ไม่มีจะแดก นี่คือเรื่องจริง อย่างที่สุดไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาประโลมโลกย์ และไม่ตื้นเขินเหมือนคำตอบที่ว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเพื่อทักษิณ
เขียนมาถึงขั้นนี้ คงมีหลายคนที่เกลียดชังพี่ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างออกไป ซึ่งพี่ไม่ได้โกรธคนเหล่านั้น เพราะคนเรามีความเชื่อต่างกันได้ และจะเกลียดกันก็ไม่ว่ากระไรแต่ให้ลองถามว่า คุณเกลียดชังคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากคุณด้วยเหตุผลอะไร หากคุณรักชาติหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ ลองนึกถึงคำตอบหน่อยว่า ผลประโยชน์ของชาติ คืออะไร ถ้าตริตรองดูด้วยเหตุผลด้วยข้อมูลต่าง ๆ มาประสมกัน คิดโดย "ไม่ควรเชื่อ เพียงเพราะ..." แล้วยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมด้วยเหตุผลที่หนักแน่น เราก็ยินดีให้ด่า
พี่หวังว่าจดหมายนี้จะเปนคำตอบที่ดีให้กับตี้และน้องปาริณอยู่ไม่น้อย หวังว่าสิ่งที่กลัดใจอยู่คงจะคลายความเครียดของมันลงไปได้ในเร็ววัน อาจจะสงสัยว่าทำไมพี่ถึงเรียกชนชั้นกลางว่าพวกเขา แล้วพี่เปนชนชั้นอะไร จริง ๆ แล้วพี่ก็เปนชนชั้นกลางเหมือนกับทุก ๆ คนที่เล่นเน็ตอยู่ ณ ที่นี้แหละจ้ะ เพียงแต่บางครั้งเราก็ไม่อยากถูกเหมารวมไปอยู่ในหมวดชนชั้นกลางที่เหยียดวรรณะ เพราะถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว พี่ยอมเปน "ไพร่" มากกว่าจะเปนคนในแดนศริวิไลซ์ที่มองเห็นคนไม่เห็นเปนคน
วิงวอนให้ทุกคนได้มี "โยนิโสมนสิการ" ในเร็ววัน
แมวโพง สีสวยดี
No comments:
Post a Comment