Sunday, October 31, 2010

เส้นทางสีแดงเดินทัพทางไกล1700กม.นาน1เดือนตามล่ายุติธรรมเริ่มแล้ววันนี้ที่ราชประสงค์สู่อีสาน

http://thaienews.blogspot.com/2010/10/17001.html

วันอาทิตย์, ตุลาคม 31, 2010

เส้นทางสีแดงเดินทัพทางไกล1700กม.นาน1เดือนตามล่ายุติธรรมเริ่มแล้ววันนี้ที่ราชประสงค์สู่อีสาน


เริ่มเดินทัพทางไกล-คนเสื้อแดงเริ่มเดินทางไกลด้วยการปั่นจักรยาน และเดินทางเท้า 1700 กิโลเมตร นาน 1 เดือน โดยออกจากจุดสตาร์ท แยกราชประสงค์ ปลายทาง 18 จังหวัดภาคอีสาน เมื่อช่วงบ่าย 31 ตุลาคม 2551 กิจกรรมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ (ชมภาพชุดการปล่อยขบวนจากราชประสงค์ทางface book)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
31 ตุลาคม 2553

โครงการกิจกรรมเดินและปั่นจักรยานเส้นทางสีแดง 1,700 กิโลเมตรจากราชประสงค์-ปลายทางประเทศลาว ระยะเวลา 1 เดือนจาก 31 ตุลาคม ถึง 30 พฤศจิกายน เริ่มต้นตั้งแต่ 10.00 น.วันนี้ โดยมีกำหนดการ และมีหลายวาระ หลายช่องทางให้คนเสื้อแดงได้มีส่วนเข้าร่วมกิจกรรม ดังต่อไปนี้

31 ตุลาคม 2553 จุดรวมพลและจุดสตาร์ท ราชประสงค์ สู่คลองเปรม ก่อนเคลื่อนขบวนสู่อีสาน

10.00น. เชิญร่วมกันมารวมพลให้กำลังใจ และส่งอาสาสมัครนักสู้ที่จะเดินทางยาวไกล 1,700กิโลเมตร ในขบวนเดินทางเส้นทางสีแดง (Red Path) เริ่มตั้งแต่ 10.00 น. และอย่าลืมก่อนออกจากบ้านช่วยกันเขียนจดหมายให้กำลังใจพี่น้องแกนนำ และเสื้อแดงในคุกทั่วประเทศ และเสื้อแดงที่ติดคุกคดีการเมืองในภาคอีสาน เพื่อนำมาใส่ซองจดหมายสีแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

หากท่านไม่สะดวกร่วมขบวนนานนับเดือน ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมก่อนการเดินทาง ด้วยการ เขียนจดหมายร้องทุกข์ จดหมายถึงนักโทษการเมือง ใส่ซองจดหมายสีแดงทีใหญ่ที่สุดในโลก โดยคณะทำงานจะต้งโต๊ะรับจดหมายตั้งแต่เวลา10.00 น.- 13.00 น. ที่ราชประสงค์ใน วันที่ 31ตุลาคม จากนั้นจะนำจดหมายทั้งหมด ไปยื่นให้ พี่น้อง และ แกนนำที่ถูกคุมขังอยู่ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ภายในวันเดียวกัน หากท่านสะดวกก็เชิญร่วมกิจกรรมที่หน้าคุกคลองเปรมด้วยกัน


13.00 น. ร่วมปล่อยขบวนและปั่นจักรยานกับ บก.ลายจุด และกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และปล่อยนกพิราบ 91 ตัว สัญลักษณ์ของเสรีภาพ 

16.00 น. วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำคลองเปรมให้กับแกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อเดินทางสู่อีสาน อาจารย์ธิดา โตจิราการ ภรรยาหมอเหวง โตจิราการ กับคณะที่ปรึกษาโครงการฯ เช่น บก.ลายจุด จะไปร่วมวางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำคลองเปรม โดยงานนี้นายแพทย์สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิีรชนเพื่อประชาธิปไตย (อดีตประธานสมาพันธ์ปชต. ผู้นำการต่อสู้ยุค 17 พฤษภา 35)นำพาพี่น้องประชาชนจัดกิจกรรม

กำหนดการเดินทาง เส้นทางสีแดง ( Red Path Project )
18 จังหวัด 22 จุดแวะพัก ระยะทาง 1,700 กม.


วันที่ ต้นทาง ปลายทาง ระยะทาง (กม.) 

31 ตค. ราชประสงค์ / คลองเปรม ปทุมธานี 46 กม. 
1 พย. ปทุมธานี อยุธยา 53 
2 พย. อยุธยา มวกเหล็ก 100
3 พย. มวกเหล็ก มวกเหล็ก 
4 พย. มวกเหล็ก ลำตะคอง 26 
5 พย. ลำตะคอง นครราชสีมา 94 
6 พย. นครราชสีมา นครราชสีมา 
7 พย. นครราชสีมา นครราชสีมา 
8 พย. นครราชสีมา บัวใหญ่ 101 
9 พย. บัวใหญ่ ชัยภูมิ 55 
10 พย. ชัยภูมิ ชุมแพ 108 
11 พย. ชุมแพ ขอนแก่น 82 
12 พย. ขอนแก่น ขอนแก่น 
13 พย. ขอนแก่น กาฬสินธ์ 77 
14 พย. กาฬสินธ์ มหาสารคาม 44 
15 พย. มหาสารคาม ร้อยเอ็ด (สุวรรณภูมิ) 98 
16 พย. ร้อยเอ็ด (สุวรรณภูมิ) ยโสธร 48 
17 พย. ยโสธร ศรีษะเกษ (ราศีไศล) 66 
18 พย. ศรีษะเกษ (ราศีไศล) ศรีษะเกษ (ราศีไศล) 
19 พย. ศรีษะเกษ (ราศีไศล) อุบลราชธานี 95 
20 พย. อุบลราชธานี อำนาจเจริญ 75 
21 พย. อำนาจเจริญ มุกดาหาร 88 
22 พย. มุกดาหาร นครพนม (ธาตุพนม) 161 
23 พย. ธาตุพนม สกลนคร 48 
24 พย. สกลนคร พังโคน 54 
25 พย. พังโคน อุดรธานี 118 
26 พย. อุดรธานี อุดรธานี 
27 พย. อุดรธานี หนองคาย 51 
28 พย. หนองคาย สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 12 
29 พย. หนองคาย หนองคาย -
30 พย. ลาว ร่วมทอดกฐินสามัคคีพี่น้องไทย-ลาว ชมคอนเสิรท์ใหญ่ แป๊ะ คนบางสนาน และศิลปินเสื้อแดง
1 ธค. เดินทางกลับโดยรถไฟ รถด่วนขบวนที่ 762 ออกจากหนองคาย 06.00 น. ถึงหัวลำโพง 17.10 น. สิ้นสุดขบวนเดินทางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 18.00 น. (ถ่ายรูปกับคนเสื้อแดง สื่อมวลชนถ่ายรูป ทำข่าว)


หมายเหตุ : 1. ตารางการเดินทางอาจมีการปรับเปลี่ยนในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

2. สื่อมวลชนต้องการทำข่าว ติดต่อ 081-583 6964 E-mail : red_truth_only@hotmail.co.th Face Book : เรดทรู้ธ

ผู้ต้องการสมทบทุนโครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project) โอนเงินสมทบได้ที่ ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาอิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว ชื่อบช.'นายสุพิน ชินบุตร และ/หรือ นายธนะสิทธิ์ พิพุฒ และ/หรือ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บช.ออมทรัพย์เลขที่ 224-241343-5'


คนไทยเสื้อแดงในต่างประเทศสามารถเข้าร่วมทำกิจกรรมนี้พร้อมๆกันทั่วโลก ร่วมกันคิกออฟกิจกรรมเส้นทางสีแดงไปพร้อมๆกัน หากสามารถมาร่วมชุมนุมกันได้ที่สถานทูต หรือสถานกงสุลของไทยในต่างประเทฒก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะกดดันรัฐบานให้ปล่อยตัวแกนนำหรือคนเสื้อแดงที่อยู่ในคุก

***กิจกรรมนี้มีกันทั่วโลก ต่างประเทศ นำโดยคุณคอนเนอร์ เพอร์เซล ชาวออสเตรเลียที่ติดคุกในไทยเพราะขึ้นปราศรัยเวทีเสื้อแดงที่ผ่านมา และได้ออกจากคุกแล้ว จัดงานพร้อมกันกับที่ขบวนแรลรี่ปั่นจักรยานโครงการเส้นทางสีแดง


โดยคุณคอนเนอร์จะรวบรวมพี่น้องเสื้อแดงที่ซิดนีย์ ไปประท้วงหน้าสถานทูตไทยประจำออสเตรเลียในวันที่ 31 ต.ค.วันเดียวกับที่โครงการเส้นทางสีแดง 

ทั้งนี้คุณคอนเนอร์และเสื้อแดงออสเตรเลีย รวมทั้งผู้ดำเนินโครงการ แจ้งมาว่า อยากให้คนไทยทั่วโลกร่วมทำกิจกรรมนี้พร้อมๆกันทั่วโลก จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังเสื้อแดงทั่วโลกร่วมกันคิกออฟกิจกรรมเส้นทางสีแดงไปพร้อมๆกัน หากสามารถมาร่วมชุมนุมกันได้ที่สถานทูตก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะกดดันรัฐบานให้ปล่อยตัวแกนนำหรือคนเสื้อแดงที่อยู่ในคุก

*******
เชิญร่วมหลั่งน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม(ปาก)อย่าปล่อยให้พวกเขาถูกขังลืมกับโครงการเส้นทางสีแดง
เชิญร่วมโครงการเส้นทางสีแดงจากคลองเปรมสู่11จังหวัดอีสาน860กม. เยียวยา+ตามหายุติธรรม


โครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project)ขอเชิญร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน นำกำลังใจและความช่วยเหลือสู่พี่น้องเสื้อแดงอีสาน 18 จังหวัด 1700 กม. 31ต.ค.-30 พย.นี้ แวะเยี่ยมผู้ต้องขัง ร่วมทำกิจกรรมผูกผ้าแดง วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำ นำเงินทองสิ่งของบริจาคมอบให้พี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนปช.ฯลฯ และรณรงค์สู่ระดับนาชาติ


โครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project) เป็นโครงการด้านมนุษยธรรมเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการสังหารหมู่ใน วันที่ 10 เมย.และ 13-19 พค.ที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนชาวไทยที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โครงการนี้ดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆ 

โดยโครงการนี้มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวแกนนำนปช.และผู้ต้องขังในคดี ชุมนุม เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปฏิบัติ 2 มาตรฐานทางกฏหมาย และเรียกร้องให้นานาชาติได้หันมาตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงหลังรัฐประหาร 19 กย. 2549 

โครงการนี้มีคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ (แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง) และอาจารย์ธิดา โตจิราการ เป็นที่ปรึกษาโครงการในประเทศไทย และมีคุณพอร์แชล คอนเนอร์ (อดีตนายทหารบกออสเตรเลียที่ถูกจับกุมคุมขังและถูกซ้อมอย่างทารุณในเรือนจำ คลองเปรม) เป็นสมาชิกกลุ่มและที่ปรึกษาโครงการในต่างประเทศ 

โครงการ เส้นทางสีแดงประกอบด้วยคนเสื้อแดงที่รักความเป็นธรรมและมีความมุ่งมั่นที่จะ นำน้ำใจและความช่วยเหลือมอบให้แก่พี่น้องเสื้อแดงที่อีสานซึ่งได้รับผลกระทบ จากการสังหารหมู่ มากที่สุด คนเสื้อแดงในภาคอีสานจำนวนมากถูกสังหาร บาดเจ็บ พิการ และสูญหายอีกจำนวนมาก สมาชิกโครงการจะร่วมกันเดินเท้าและปั่นจักรยานเพื่อไปเยี่ยมเยียน เยียวยา และให้กำลังใจบุคคลที่น่าเห็นใจเหล่านี้ได้มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป และไม่ย่อท้อที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงที่พวกเขาโหยหามาชั่ว ชีวิต

ขบวนเดินทางจะเริ่มออกเดินทางในวัน อาทิตย์ที่ 31 ตค. เวลา 10.00 น.ที่ราชประสงค์โดยจะปั่นจักรยานและเดินเท้าไปเรือนจำคลองเปรมเพื่อทำการวางดอกไม้แดงและปล่อยนกพิราบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ โครงการนี้จะเดินทางด้วยระยะทางกว่า 900 กม. ผ่าน 18 จังหวัดในภาคอีสาน ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 31 วันโดยประมาณ 

พบกันตั้งแต่10.00 วันอาทิตย์ 31 ตค.ที่ราชประสงค์ !

รูปปั้นลุงนวมทองในการเมืองเชิงสัญลักษณ์ของตุลา 53

http://thaienews.blogspot.com/2010/10/53_31.html

วันอาทิตย์, ตุลาคม 31, 2010

รูปปั้นลุงนวมทองในการเมืองเชิงสัญลักษณ์ของตุลา 53



วีระประชาชน-กลุ่มคนเสื้อแดงสร้างรูปปั้นนวมทอง ไพรวัลย์ ที่บริเวณ"สะพานลอยนวมทอง" หรือสะพานลอยหน้าสำนักพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีฯ บริเวณที่เขากระทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อ 31 ตุลาคม 2549 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว (ชมภาพชุดทางface book)

4ปีรำลึกนวมทอง-สุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยาม ทำความเคารพรูปปั้นนวมทอง ไพรวัลย์ ซึ่งคนเสื้อแดงและผู้เรียกร้องประชาธิปไตยจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีการจากไปของเขา ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน (ชมภาพกิจกรรมทั้งหมดทางfaxe book)

โดย อรรคพล สาตุ้ม
31 ตุลาคม 2553

รูปปั้นลุงนวมทอง ในการเมืองเชิงสัญลักษณ์ของตุลา 53 : บริบทเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53กับศิลปะแห่งความทรงจำเป็นสัญลักษณ์ของความใกล้ชิดธรรมชาติของแผ่นดินในประชาธิปไตยไทย และพรมแดนของสื่อมวลชนต่อความกล้าหาญของการตัดสินใจต่อสู้แนวสันติวิธี ยังรอคอยพิสูจน์ตอนจบในปัจจุบัน


ผู้เขียนเริ่มต้นตั้งใจเขียนงานขนาดไม่ยาวชิ้นนี้ โดยภาพร่างของความคิดเกี่ยวโยงปัญหาของทหาร 

เช่น ปฏิรูปกองทัพเลิกเกณฑ์ทหารไปรัฐประหาร หรือเกณฑ์ไปฆ่าคนเหมือนเกณฑ์ไพ่รพลในอดีต และปฏิรูปสื่อเกี่ยวโยงทหาร กรณีททบ.5 เป็นต้น 

แต่ว่าผู้เขียนโดยส่วนตัวประสบขีดจำกัดของเวลา หน้าที่การงาน จึงต้องกระชับพื้นที่การเขียนให้ชัดเจนง่ายๆ เพราะว่า ผู้เขียนวิเคราะห์รูปปั้นลุงนวมทอง 

โดยผู้เขียนคิดปรับชื่อบทความขนาดยาว คือ รูปปั้นลุงนวมทองในการเมืองเชิงสัญลักษณ์ตุลา 53 : บริบทเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 กับศิลปะแห่งความทรงจำเป็นสัญลักษณ์ของความใกล้ชิดธรรมชาติของแผ่นดินประชาธิปไตยไทย และพรมแดนของสื่อมวลชนต่อความกล้าหาญของการตัดสินใจต่อสู้แนวสันติวิธี ยังรอคอยพิสูจน์ตอนจบในปัจจุบัน 

จากชื่อของบทความ ซึ่งผู้เขียนต้องการเขียนประเด็นใหญ่เพียงประเด็นเดียว ทำให้ต้องพยายามตั้งชื่อบทความนั้นให้สั้นลง ขณะนั้นก็ระลึกถึงมุมมองบางอย่างต่ออดีตของวันวาน เหมือนขอบเขตจำกัดของกรอบรูปภาพ ในคำว่าframe แปลว่า กรอบรูป(N.) และใส่ความ(V.) ได้ทั้งสองความหมาย ในการใช้คำว่า Frame สร้างกรอบรูปภาพ หรือ สร้างความเข้าใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว 

แน่นอนว่า เราอาจจะเห็นนัยยะบางอย่างของภาพเหมือนเราไม่อาจใช้คำหนึ่งคำเป็นองค์รวมทั้งหมด เช่น ภาพLas Meninas โดยฟูโกต์ ผู้ศึกษาเรื่องวาทกรรม เกี่ยวกับอำนาจและความรู้ ซึ่งพวกเราหลายคนคงรู้จักฟูโกต์กันดี และฟูโกต์ ก็นำกรอบวาทกรรมมาวิเคราะห์ภาพLas Meninas ในหนังสือ The order of Things เป็นต้น 

ถ้าผู้สนใจสามารถค้นหาภาพโดยกูเกิ้ลจะเจอภาพLas Meninas และนัยยะของฟูโกต์ คือ สื่อถึงเราไม่อาจมองเห็นตัวการสร้างภาพความจริงได้จากมุมมองทั้งหมดทุกซอกทุกมุม 

อีกนัยหนึ่งเราไม่สามารถอ้างตำแหน่งพิเศษของความเป็นนักวิจัยหรือผู้เขียน ว่าสามารถกระโดดออกมานอกกรอบของบริบทการศึกษาแล้ว มองเห็นภาพในเชิงองค์รวมทั้งหมด(totality) 

แม้ว่าการมองเห็นภาพทั้งหมดเป็นเรื่องยาก แล้วรูปภาพยังถูกใส่กรอบรูป และบูชาอีกต่างหาก ดังนั้น ผู้เขียนเน้นย้ำถึงรูปปั้นลุงนวมทอง ในมุมมอง 3แบบและการต่อสู้ในปัจจุบัน(*)

1.รูปปั้นลุงนวมทอง คือ ศิลปะแห่งความทรงจำเป็นสัญลักษณ์ธรรมชาติของแผ่นดินประชาธิปไตยไทย

ย้อนอดีตโดยผลกระทบของ 19 กันยา 49 ต่อลุงนวมทอง มาจากสาเหตุการรัฐประหารและผู้เขียนเคยเขียนในแง่มุมหนึ่งต่อลุงนวมทองไปแล้ว โดยผู้เขียนในฐานะคนเล็กๆ คนหนึ่งก็ยังคงระลึกถึงลุงนวมทอง(1) 

จนกระทั่งต่อมา เมื่อคนสร้างรูปปั้นลุงนวมทอง คือ ศิลปะแห่งความทรงจำเป็นผู้พิสูจน์ตนใกล้ชิดธรรมชาติของประชาธิปไตยไทย ที่มีลุงนวมทองเป็นผู้พิทักษ์สภาวะของประชาธิปไตยไทย โดยศิลปะความทรงจำของความใกล้ชิดประชาธิปไตย 

โดยผู้เขียนเคยเขียนเรื่องธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของประชาธิปไตย แล้วล่าสุดผู้เขียนได้รับคำถามหนึ่งที่สำคัญ คือ เมื่อคุณถูกถามว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550(ที่มาจากการรัฐประหาร) ในมาตรา 1 คือ อะไร? คุณอาจจะตอบไม่ได้ 

เพราะว่าสิ่งที่หลงลืมไปจากความทรงจำ ดังนั้น ผู้เขียนเฉลย คือ หมวด 1 บททั่วไป (มาตรา 1) คือ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ซึ่งพวกเราจะตีความ หรือแปลความว่า แผ่นดินนี้แบ่งแยกไม่ได้ หรือ พรมแดนอันหนึ่งอันเดียว

โดยถ้าพวกเราคิดถึงแนวคิดแผนที่อันเป็นพรมแดนของความเป็นไทย โดยธงชัย วินิจจะกูล เคยเขียนถึงปัญหารัฐธรรมนูญเป็นของนอก หรือหากการปลูกวัฒนธรรมประชาธิปไตย และสมมติว่ารัฐธรรมนูญ ดั่งเปรียบเป็นเมล็ดพันธุ์ จึงเป็นรัฐธรรมนูญพันธุเทศ ที่นำเข้ามาปลูกในวัฒนธรรมไทย 

ซึ่งถ้ามองดูในแง่ความใกล้ชิดของประชาธิปไตย ถูกทำให้ไกลตัวเป็นของนอก ทั้งรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยต้องทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ก็เป็นปัญหาต่อพัฒนาการ อันเป็นธรรมชาติของการเติบโตทางประวัติศาสตร์ ที่มีวิวัฒนาการกับประชาธิปไตย โดยพวกเรามักเห็นข้อโต้แย้งต่อฝรั่งไม่เข้าใจคนไทย หรือของนอกไม่เหมาะกับความเป็นไทย จากความไกลห่างของฝรั่ง ไม่ใกล้ชิดวัฒนธรรมไทย (2)

ดังนั้น เมื่อชาตินิยมไทย ก็เติบโตบนแผ่นดินของไทย ในการปลูกสร้างธรรมชาติให้วัฒนธรรมของไทย ก็มีลักษณะของความใกล้ชิดกัน เหมือนเครือญาติ ครอบครัวเดียวกัน โดยผู้เขียนยกตัวอย่างสิ่งที่เร้าอารมณ์ความรู้สึกของคนในหัวสมองกับหัวใจ โดยเบน แอนเดอร์สัน ผู้แต่งหนังสือชุมชนจินตกรรมก็เคยบอกว่า ในประเทศไทย"รัฐ"กับ"ชาติ"แต่งงานกัน แล้วพวกเราก็ต้องเข้าใจการสร้างอารมณ์ความรู้สึกของคนในชาติ สัมพันธ์กับรัฐ 

ซึ่งผู้เขียนขยายความ โดยเพิ่มเติมอธิบายต่อความรู้สึกใกล้ชิดผูกพันของประชาชนกับรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย หรือการตั้งโจทย์ คือ ชาติ+อารมณ์ความรู้สึกใกล้ชิดประชาชน+แต่งงาน+ประชาธิปไตย 

เหมือนสมมติว่าคนที่มีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม เมื่อพวกเขาเลือกตัดสินใจเป็นคู่ครองแต่งงานกัน (ถ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบข่าวเหตุการณ์ในปี53กรณีสาวบุกทวงสัญญาแต่งงาน แฟนทหาร กลางราบ11 และสิ่งตรงกันข้ามทหารเกณฑ์ คือพลทหาร เครียด ผูกคอตาย กลัวถูกส่งสลายม็อบ)

เพราะฉะนั้น จากการเรียนรู้ และประสบการณ์ของชีวิต ที่ผ่านมาโดยแบบเรียนตั้งแต่ประถม ซึ่งพวกเราเรียนรู้ ผ่านอนุสาวรีย์ และวัฒนธรรมผลิตสร้างความทรงจำในหัวสมอง และหัวใจของพวกเรา ก็ถูกบันทึกประวัติศาสตร์ในศิลป์ของความทรงจำของพวกเรา 

คือ รัฐธรรมนูญ กับความเป็นมาจากของฝรั่งก็เป็นพันธุ์ผสมไทย เหมือนกับศาสนาพุทธ ที่มาจากอินเดีย และรัฐธรรมนูญ ก็ควรน่าจะปลูกสร้างได้ลงตัวโดยไม่ต้องรัฐประหารตัดตอน และไม่ทำให้เกิดคนแบบลุงนวมทองมาฆ่าตัวตาย และลุงนวมทอง เขียนจดหมายโดยลายมือเขียนลาตายต่อครอบครัว และลูก รวมทั้งชี้แจงว่า เทิดทูน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และลุงเขียนขีดฆ่ารัฐทหาร และรัฐตำรวจ (ต้องไม่มี)เป็นสัญลักษณ์ปรากฏในสื่อใหม่ทางอินเตอร์เน็ตโดยดูวิกีพีเดีย 

ซึ่งพวกเราไม่ต้องใช้เทคโนโลยียุคเก่าแบบโทรเลข ที่มีสมัยสร้างรัฐชาติ แผนที่ก็เริ่มวางสายโทรเลข จนกระทั่งพวกเรารู้ว่าเลิกใช้โทรเลขไป ซึ่งพวกเรารับรู้สื่อใหม่ทางอินเตอร์เน็ตเฟซบุ๊ค บล็อก สเปซเป็นเครือข่ายทางสังคมสำหรับเก็บข้อมูล และเผยแพร่นอกเหนือจากการออกอากาศทางทีวี หนังสือ หนังสือพิมพ์ โดยจดหมายของลุงนวมทอง ก็ปรากฏในสื่อใหม่ของวิกิพีเดียไว้ 

กระนั้น ผู้เขียนยกตัวอย่างที่สะท้อนการสร้างการปลูกฝังธรรมชาติของอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้เติบโต ในแผ่นดินไทยในเรื่องคุณค่าของความหมายของความตาย และความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดของลุงนวมทอง คือ ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก เป็นสิ่งที่ปรากฏในจดหมาย และพวกเราคงไม่ต้องรอคอยประชาธิปไตย แล้วพวกเราต้องทำเหมือนค่ำคืนวันที่ 31 ต.ค.2549 เป็นต้น
ฉะนั้น 

กรณีรูปปั้นลุงนวมทอง เมื่อกลุ่มศิลปินเสื้อแดง กล่าวว่ารูปปั้นดินเหนียวนี้ เมื่อเสร็จแล้วจะนำไปถอดเป็นแม่พิมพ์ซิลิโคน จากนั้นจะหล่อด้วยปูนซีเมนต์ผสมเลือดของคนเสื้อแดงที่ได้เจาะออกมาแสดงสัญลักษณ์การต่อสู้ในแนวทางสันติวิธี โดยจะตั้งชื่อรูปปั้นว่า "นวมทองไพรวัลย์ ประชาทิพย์พิทักษ์ไทย" และตั้งไว้บริเวณด้านล่างเวทีการชุมนุม เพื่อให้ผู้ร่วมชุมนุมได้มาปิดทองระลึกถึงและคารวะต่อใจที่เด็ดเดี่ยวของนายนวมทองต่อไป ขณะลงมือปั้นรูปเหมือนดินเหนียว(3) ซึ่งสะท้อนความเป็นดินจากธรรมชาติของแผ่นดิน และต่อมาหล่อด้วยปูนซีเมนต์ผสมเลือดของไพร่ ที่มีกระแสทางการเมืองของขบวนการเคลื่อนไหว ในขณะนั้น เพื่อธรรมชาติของประชาธิปไตยให้แข็งแรงไม่เสื่อมสลายหายไป โดยประชาธิปไตยไทยเติบโตต่อไป

2.ความเสื่อมของสื่อมวลชน ทำให้สร้างเส้นแบ่งพรมแดนของมวลชน ไม่มีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดรูปปั้นลุงนวมทอง เมื่อการเปรียบเทียบเรื่องความเสื่อมของสื่อมวลชน กรณีนับตั้งแต่เรื่องลุงนวมทอง ก็มีเพียงสถานีโทรทัศน์ ITV เท่านั้นที่นำเสนอรายละเอียดของบทสนทนาก่อนที่ลุงนวมทองจะตัดสินใจทำในสิ่งที่เกิดขึ้น (4) 

แน่นอนว่า หลายคนมีวิธีเขียนเรื่องราวเป็นบันทึกให้ลุงนวมทอง บางคนเขียนบทกวีให้ลุงนวม เช่น จิ้น กรรมาชน และผู้เขียนเคยเขียนถึงการเมืองเชิงตราสัญลักษณ์ของทีวีไทย จึงเลือกนำเสนอผ่านภาพลุงนวมทองเกี่ยวโยงสถานีไอทีวีในอดีต 

สิ่งที่สะท้อนให้ภาพลักษณ์โดยการสร้างภาพของสื่อมวลชนให้ขัดแย้งก่อเกิดความเสื่อมต่อมวลชน และสร้างพรมแดนทางอารมณ์ความรู้สึกอันน่ากลัว คือ กรณีเช่นพาดหัวข่าวว่า “แดงไม่กลัวเอดส์!! ปั้นหุ่นลุงนวมทองผสมเลือด จ่อตั้งสี่เสาฯ” (5)

แต่ว่า ภาวะหลังฝุ่นตลบจากสงครามกลางเมือง ผู้เขียนเคยเขียนถึงการสร้างอารมณ์ความรู้สึกของคนในชาติกับฺBig Cleaning Dayในเดอะเฮดว่ารัฐใช้สื่อมวลชน นอกจากปิดสื่อ แล้วใช้สื่อมวลชนสร้างภาพให้เมืองกรุงเทพฯ เหมือนล้างสมองของคน(6) 

ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาต่อสื่อมวลชน ในเรื่องความตายของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ในฐานะเพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตยในเดือนตุลาคม 2549 ก็ไม่ได้ถูกยอมรับทั้งสองฝ่าย ซึ่งสองมาตรฐานอย่างแน่นอน และสังคมอาจจะยอมรับได้เหมือนการฆ่าตัวตายของสืบ นาคะเสถียรในอนาคต ก็ยังไม่แน่นอน แล้วทุกคนคงไม่ลืมลุงนวมทอง ต้องระวังถูกล้างหายไปจากในมันสมองเหมือนวันชาติไทย(7) โดยการกระทำของรัฐไทย ทั้งปิดกั้นสื่อเพื่อลบลืมเลือนความจริง

3.รูปปั้นลุงนวมทอง เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ สันติวิธี และผู้พิสูจน์อุดมการณ์ประชาธิปไตย เป็นโจทย์ท้าทายความเคลื่อนไหวหลังเหตุการณ์เมษา-พฤษภา กรณีสันติวิธีไทยในปัจจุบัน

ส่วนประเด็นหลังเหตุการณ์เมษา-พฤษภา ซึ่งผู้เขียน ก็มีโอกาสไปกรุงเทพฯ สังเกตการณ์ช่วงเดือนเมษายน และหลังเหตุการณ์พฤษภาคม ก็มีโอกาสที่พวกผู้เขียน ได้รับฟังข้อมูลจากมุมมองของคนภายในขบวนการ คือ ไม้หนึ่ง ก.กุนที หลังจากภาวะฝุ่นตลบแล้ว ทั้งสถานการณ์ในการรับรู้เรื่องแกนนำ และรูปปั้นลุงนวมทอง โดยผู้เขียนขอกล่าวย่อๆ ในแง่มุมดังกล่าว เป็นต้น โดยประเด็นเพิ่มเติมต่อสถานการณ์การเมืองไทยที่ผ่านมา ในมุมมองของธงชัย วินิจจะกูล ที่มองการเมืองในฐานะของประชาธิปไตยและความใกล้ชิดของสันติ อหิงสาของไทย โดยแนวคิดและชื่อของคน ผู้นำความคิดใช้สันติ อหิงสา ใกล้ชิดผูกผันกับศาสนา โดยข้อเสนอของธงชัย ล่าสุดในวารสารอ่าน(8) ก็น่าสนใจไม่น้อยว่า ทำให้ผู้เขียนคิดถึงสื่อมวลชน กับการเปิดพื้นที่สื่อสารให้คนรุ่นใหม่ แสดงออกสันติวิธีกับรูปปั้นลุงนวมทอง เป็นสัญลักษณ์สันติวิธีมากขึ้น

พวกเราจะตัดสิน(ใจ)ให้ความยุติธรรมต่อคนที่ใช้สันติวิธี ทำให้มีพื้นที่ในแผ่นดินไทย เนื่องจากเหตุการณ์ของลุงนวมทอง จนกระทั่ง ลุงนวมทองกลายเป็นรูปปั้นลุงนวมทอง และเหตุการณ์เมษา-พฤษภา เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยและสันติวิธี เพราะนักสันติวิธี และ นักประชาธิปไตย จะตอบคำถามได้อย่างไร? โดยยกตัวอย่างของผู้เขียนจากคิดตั้งคำถาม คือ ถ้าพวกเขาถูกถามว่า รัฐฆ่าผู้ก่อการร้าย ถูกต้องไหม? โดยถ้าพวกเขา คิดโดยตรรกะของเหตุผล ซึ่งยอมรับว่าธรรมชาติของคนไม่ฆ่าคน จะยอมรับอย่างไร? และพวกเขา ก็ต้องตอบว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่สันติวิธีอย่างที่นิยามไว้ เพราะพวกเขาใช้อาวุธ จึงเกิดคำถามต่อว่า พวกเขาเหมาะสมที่ควรถูกฆ่าหรือ? และถ้าคนเสื้อแดง ตั้งคำถามต่อว่าทำไมต้องยิงประชาชนที่ไม่ใช้อาวุธในเขตวัดปทุมฯ ? และคำถามอันเป็นปัญหาประการต่อมา ในแง่การนิยามสันติวิธีแคบๆ ทำให้ลุงนวมทอง ก็ไม่ใช่สันติวิธีแบบนั่งสมาธิอดข้าวประท้วง แน่นอน คำตอบต่อความสนใจของปัจเจกบุคคลของนักสันติวิธี ซึ่งสนใจต่อเหตุการณ์นี้ อาจจะแตกต่างกัน ซึ่งพวกผู้เขียน ขอเล่าโดยย่อก็ได้มีโอกาสสนทนากับนารี เจริญผลพิริยะ ณ สถาบันศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพของมหาวิทยาลัยพายัพ ต่อกรณีรูปปั้นลุงนวมทอง และเหตุการณ์ภายในวัดปทุมฯ จากภายในมุมมองของนารี ซึ่งเล่าว่าได้เห็นรูปปั้นและถ่ายรูปตอนทหารยกรูปปั้นหายไป เป็นต้น 

ส่วนปัญหาของสิ่งที่สำคัญ โจทย์ท้าทายการแสวงหาอิสรภาพของความคิดในการเปิดพื้นที่ส่วนร่วมอันหลากหลาย เพื่อสร้างกรอบคิดในสันติวิธี สำหรับประเด็นของเนื้อหาเพื่อกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวแบบสันติแนวใหม่ จากปัญหาข้อจำกัดเดิมก็น่าสนใจมาก และการตัดสินใจในการสลายการชุมนุมของการเคลื่อนไหว จากการจัดการเวที จนกระทั่งหลังปัญหาเรื่องRoad Map ซึ่งแค่คนเดียวคิดก็ไม่ง่าย เมื่อตอนเกิดเหตุการณ์นั้น โดยประสบการณ์ของพวกเราในเชียงใหม่รวมกลุ่มเคลื่อนไหว ก็คิดต่อคำถามในประเด็นการประกาศสลายการชุมนุมต่อหลายแง่มุม ซึ่งมุมมองต่างๆ จากประสบการณ์ และจินตนาการถึงสลายหรือไม่สลาย ก็ไม่ง่ายเป็นตัวอย่างให้พวกเราตั้งคำถามและคำตอบกันเอง จึงเป็นประเด็นการสลายการชุมนุมอย่างสันติวิธี ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายได้ไง ในเมื่อเสื้อแดงถูกป้ายสีให้ถูกฆ่าตาย โดยการโจมตีของศอฉ.และสื่อมวลชน อันเสื่อมจริยธรรม ศีลธรรมอันดี ในการไม่เข่นฆ่ามนุษย์กันอง ทำให้พวกเสื้อแดงโกรธแค้นเผาเมืองกรุงเทพฯ รวมทั้งต่างจังหวัด และคำถามที่พวกเรารู้แก่ใจว่า รัฐกำลังสร้างสิ่งทีทำให้พวกเขากลายเป็นพวกผู้ก่อการร้าย และทำให้ประเทศไทยแบ่งแยกกันไป โดยรัฐจงอย่าทำร้าย แลัวทำให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติ ไม่มีแผ่นดินอยู่ในประเทศไทย โดยการสร้างแผนที่ของสายตา(the creation of a Visual Map) ร่วมมองเห็นความจริงให้คนไทยร่วมคิดอย่างสร้างสรรค์เป็นแผนที่ทางออกของชุมชนจินตกรรมใกล้ชิดประชาธิปไตยร่วมกันในแผ่นดินเดียวกันของประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนต้องการเน้นย้ำชี้ให้เห็นเรื่องธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงจากการเห็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ และการสร้างธรรมชาติประชาธิปไตย ในแผ่นดินไทย ซึ่งธรรมชาติในฐานะทางประวัติศาสตร์ ที่มีประชาธิปไตยไทยยังปลูกสร้างไม่เต็มใบ โดยพวกเรา ก็เห็นความเสื่อมสลายหายไปของระยะเวลาในอดีตของความนิยมชมชอบการเมืองแบบพ่อขุนอุปถัมภ์เผด็จการแบบสฤษดิ์ จากข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสร้างธรรมชาติประชาธิปไตยครึ่งใบในยุคต่อมา หลัง 14 ตุลา 2516-6 ตุลา 2519 บางด้านเป็นสิ่งที่ประชาธิปไตยสร้างไม่เสร็จ หรือการเรียกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ โดยผู้เขียนยังไม่ได้อธิบายตัวงานศิลปะของรูปปั้นลุงนวมทองอย่างยาวนัก แต่ผู้เขียนจะอธิบายสั้นๆ โดยรูปปั้นของสามัญชน คนธรรมดาเป็นลักษณะกายภาพร่างกายดูเข้มแข็ง คล้ายแนวคิดรูปแบบศิลปะสัจนิยม รับใช้มวลชนในสังคมของชุมชนจินตกรรม โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นตัวแทนของจิตสำนึกในการสร้างสรรค์ หรือศิลปะสมัยใหม่ ต่างๆนานา 

แต่ว่าผู้เขียน คิดว่า เสื้อแดงทุกคน ก็คงมีความต้องการเน้นชัดในเรื่องการลุกขึ้นสู้โดยไม่ใช่พ่ายแพ้แบบเดิม และการต่อสู้ต้องไม่สิ้นหวัง โดยยึดมั่นแนวทางสันติวิธีเชิงสัญลักษณ์ลุงนวมทอง ก็น่าสนใจมากต่อสื่อมวลชน เช่น สมมติจัดงานวาดรูปลุงนวมทอง หรือจัดงานปั้นรูปปั้นลุงนวมทอง เพื่อความเคลื่อนไหวของมวลชนในทุกจังหวัดเพื่อให้ยกเลิกพรก.ฉุกเฉินฯในกรุงเทพฯ แม้ว่าปรากฏบทความข้อถกเถียงเรื่องแกนนำพวกเราเห็นกันมาพอสมควร จากบทเรียนเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วย กับคนที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเขียนเรื่องกรณีหาคนรับผิดชอบต่อคนตาย และนักข่าวต่างชาติ ฯลฯ ดังนั้น เมื่อผู้เขียนสร้างขอบเขตจำกัดของกรอบภาพเหมือนโครงเรื่องโดยผู้เขียน เพราะว่าคนเรามีมุมมองของแต่ละคน และผู้เขียนเคยเขียนถึงการเคลื่อนไหว 26 มีนา 52 (9) 

ต่อมาอย่างที่พวกเรารู้ว่าผลลัพธ์ คือ เมษา 52 แล้วผู้เขียนตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยว่า จากการเปรียบเทียบสองเหตุการณ์เมษา 52 และเมษา-พฤษภา 53 ที่มีการเริ่มต้นเคลื่อนไหวแนวสันติโดยจุดเริ่มต้นวันที่ 12 มีนา 53 ในอดีตเป็นวันที่คานธี เริ่มเดินทางไกลเพื่อประท้วงเจ้าอาณานิคมอังกฤษ และพวกแกนนำ ก็พยายามชูสันติวิธีเท่าที่ทำได้ แต่พวกเราก็ยังต้องจากจุดเริ่มต้นเดินทางไกลสู่ประชาธิปไตย และแนวทางในปัจจุบันของสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นแนวแกนนอน และสมยศ พฤษาเกษมสุข จะมีข่าวออกมาเป็นภาพดูไม่ดี เช่น คำนูณ สิทธิสมานระบุในคอลัมน์ นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการ ชี้การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ของ “สมบัติ บุญงามอนงค์” อันตรายกว่าการต่อสู้แบบใช้ความรุนแรง(10) หรือเสื้อแดงไม่ยอมจบพร้อมพลีชีพ-ป่วนเมือง…และนายสมยศกล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมคนเสื้อแดงส่งท้ายเดือนต.ค. ได้กำหนดให้มีกิจกรรมเคลื่อนไหวในวันที่ 31 ต.ค.ที่หน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยจะนำรูปปั้นนายนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ประกาศสละชีพเพื่อประชาธิปไตยเพื่อให้คนไทยไม่ลืมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์(11) 

และแล้วความเคลื่อนไหวจะกลับมาอีกครั้ง ยังไม่จบ ในท้ายที่สุดของบทความนี้ เมื่อผู้เขียนไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมด ซึ่งพวกเรา อาจจะจำเนื้อหาไม่ได้ทั้งหมด สิ่งสำคัญเพียงพวกเราจำได้ว่ารู้สึกเจ็บปวดก็เพียงพอโดยผู้เขียนไม่ได้มองโลกแง่ร้าย หรือ สร้างคำคมๆ ชวนให้ระลึกถึงว่าประชาธิปไตยไทยกำลังไปสู่ลักษณะน้ำท่วมป่าช้า แต่ว่าผู้เขียนขอเลือกให้เป็นความหวังในทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทายโดยจบลงที่ความสวยงามของความทรงจำของบทกวี"ประชาทิพย์ พิทักษ์ไทย"(12)

ขึ้นรูปลุงนวมทอง 
ผู้กล้าท่องถนนเถื่อน
กี่วัน กี่ปี เดือน 
ยังเหมือนอยู่ให้รู้เห็น

สงครามของคนไพร่ 
ผองเพื่อนไทยผู้ลำเค็ญ
ลุกฮือเพราะจำเป็น 
เขาไม่เห็นเราเป็นคน

ขึ้นรูปลุงนวมทอง
ตระกองดินเริ่มตั้งต้น
ปฏิมาสามัญชน 
ประชาทิพย์ พิทักษ์ไทย



*หมายเหตุ : จากการอ่านหนังสือดูข้อมูลเอกสาร ต่างๆ ซึ่งงานเขียนจำกัดการอ้างอิง โดยส่วนตัวจริงๆ แล้วผู้เขียนยาวกว่า 6 หน้า A4 แล้วปรากฏว่าผู้เขียนต้องเขียนบทความให้ย่นย่อได้แค่ 4 หน้า ซึ่งผู้เขียนมี4 มุมมอง แต่ผู้เขียนต้องลดลงเหลือ 3มุมมอง ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะย่อเหลือ2 หน้า โดยสาเหตุของความจำเป็น คือ ผู้เขียนตั้งใจย่อสำหรับเผยแพร่เพื่อให้ทันวันที่ 31 ตุลา 53 ในเว็บไซต์

เชิงอรรถ 

1.อรรคพล สาตุ้ม ระลึกถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ในฐานะญาติร่วมชาติไทยในเดือนตุลาคม

2.ผู้เขียนนำแนวคิดในการเขียนโดยที่มาของธงชัย วินิจจะกูล เขียนเรื่องชาติไทย,เมืองไทย และนิธิ เอียวศรีวงศ์ :คำนำ ใน นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชาติไทย,เมืองไทย.แบบเรียนและอนุสาวรีย์”และดูเพิ่มเติม อรรคพล สาตุ้ม“24 มิถุนา , 28 กรกฏา,14-6ตุลา,4 ธันวา-10 ธันวา”จากYoung PAD-คนรุ่นใหม่ มุมมองผ่านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมไทย

3.บทกวีแด่รูปปั้น "นวมทอง ไพรวัลย์" โดย "ไม้หนึ่ง ก.กุนที" วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:15:00 น. มติชนออนไลน์ 

4.สัมภาษณ์: จอม เพชรประดับ และถ้อยคำสุดท้ายของ "นวมทอง ไพรวัลย์ 

5. “แดงไม่กลัวเอดส์!! ปั้นหุ่นลุงนวมทองผสมเลือด จ่อตั้งสี่เสาฯ” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 เมษายน 2553 16:00 น.

6.อรรคพล สาตุ้ม การสร้างอารมณ์ความรู้สึกของคนในชาติกับฺBig Cleaning Dayในเดอะเฮด(โปรดรอดูฉบับเต็มยังไม่ได้เผยแพร่)

7.อรรคพล สาตุ้ม เล่าเรื่องเอกสารในวันประกาศเป็นวันชาติอย่างทางการ กับหนังสือมันสมองของหลวงวิจิตรวาทการ 

8.ธงชัย วินิจจะกูล ฝุ่นตลบหลังมีคนถูกฆ่าตายตรงราชประสงค์ วารสารอ่านปีที่ 2 ฉบับที่ 4 เมษายน-กันยายน 2553

9.อรรคพล สาตุ้ม 26 มีนา 2520 หรือ 26 มีนา 2552: ผลกระทบของผีเสื้อ-กระแสแดงทั่วแผ่นดิน 

10. “คำนูณ” ระบุการต่อสู้ของ “สมบัติ บุญงามอนงค์” อันตรายกว่าใช้ความรุนแรง

11.เสื้อแดงไม่ยอมจบพร้อมพลีชีพ-ป่วนเมือง เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม 2553 เวลา 22:00 น.

12.บทกวีแด่รูปปั้น "นวมทอง ไพรวัลย์" โดย "ไม้หนึ่ง ก.กุนที"เพิ่งอ้าง

Saturday, October 30, 2010

คำ ผกา - หลงว่าดีไม่มีใครเกิน

หน้า 89
คำ ผกา

หลงว่าดีไม่มีใครเกิน

ลูก สาวเพื่อนไปประกวดการแสดงศิลปะไทย เธอไปฟ้อน หรือ รำ
อะไรฉันก็จำไม่ได้ แต่จำคอมเมนต์ของกรรมการที่มีให้เธอว่า
การแสดงของเธอนั้น "ไม่ authentic พอ" แปลว่า มันดูไทยแต่ไม่แท้
อันชวนให้ฉงนฉงาย การฟ้อนรำหรือแสดงอันใดที่เป็นของไทยแท้ และauthentic

แอบคิดต่อว่า ถ้าน้องเค้าสำแดงความจริงแท้ปราศจากสิ่งปลอมปนด้วยการสาธิต
การฆ่าควาย หลั่งเลือดมาเป็นบัดพลีให้ผีปู่แสะย่าแสะ อันเป็นทั้งศิลปะ
ทั้งวัฒนธรรม ทั้งพิธีกรรม ทั้งการร่ายรำ
ขับขานและอันนี้น่าจะเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังมิได้ปลอมปนศิลปะขอม แขก
หรือ จีน

หากกรรมการท่านจะยังบ่นอีกหรือไม่ว่า เอ้อ อันนี้ไม่ authentic
เพราะไม่อย่างนั้นจะลองแสดงท่าองค์ลงประทับ
หยิบเนื้อควายดิบมาฉีกกินจนเลือดย้อยมุมปาก รับรองว่า authentic
จริงแท้แน่นอน

(แต่กรรมการอาจบอกว่า
นั่นเป็นวัฒนธรรมอันป่าเถื่อนของชาวล้านนาประเทศมิใช่ไทย ก็เป็นได้)

ถามต่อว่าแล้วอย่างไรที่เรียกว่าไทยแท้อย่างที่กรรมการอยากเห็น
พบว่าคุณสมบัติข้อหนึ่งคือ
การแต่งชุดไทยนั้นหากไม่แต่งหน้าถือว่าไม่ใช่ชุดไทย

หมายเหตุเพิ่มเติมว่า
ลูกสาวเพื่อนอาจจะคิดนอกกรอบไปสักนิดด้วยการบังอาจสำแดงการร่ายรำในชุดไทยโดยมิได้แต่งหน้า

ปั๊ดโธ่! นังหนู ไม่เห็นเหรอว่าตอนประกวดนางสาวไทย นางงามใส่ชุดไทย
แล้วต้องต้องแต่งหน้าเข้มเป็นนางละคร เขียวเข้าไว้ แดงเข้าไว้
ไม่อย่างนั้นมันไม่ไทย



ในชีวิตของฉันหากถามว่าสิ่งใดยอกย้อน
และอธิบายได้ยากที่สุดก็น่าจะคือความเป็นไทย
และการรับรู้เกี่ยวกับความเป็นไทยของคนไทย

ในเวทีหนึ่งเราสามารถพูดเรื่องวัฒนธรรมไทยที่เราเชื่อว่าได้รับอิทธิพล
อินเดีย ขอม มอญ ลาว จีน แต่ขณะเดียวกัน
เราก็สามารถเชื่อมั่นว่ามันมีความเป็นไทยที่แท้อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
และช่วยไม่ได้ที่เราจะรู้สึกว่า
สิ่งที่ตกผลึกหลายเป็นความไทยแท้แสนออเตนติกนั้น มันช่างสูงส่งเลิศเลอ
น่าภาคภูมิใจ

และเหตุที่อะไรๆ ของไทยมันก็ดีเลิศประเสริฐศรีกว่าผู้อื่น
ก็เนื่องจากคนไทยนั้นมีความสามารถพิเศษในการคัดกรองคัดสรร
เลือกรับแต่สิ่งที่ดีๆ มาจากทุกวัฒนธรรม
จากนั้นผสมผสานกับคุณสมบัติอันโดดเด่นที่มีอยู่เดิมของไทย
(อันไม่ชัดเจนว่าคืออะไร) มันจึงดันให้อะไรก็ตามของไทยมันจี๊ดจ๊าด
ดีงามกว่าชนชาติอื่นเสมอ

ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากว่า
แม้คนไทยจะมั่นอกมั่นใจในความดีเลิศประเสริฐศรีของตนเอง
คนไทยนี่แหละกลับเป็นคนที่เปราะบางที่สุดเมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์
หรือโดนท้าทายจากคนในวัฒนธรรมอื่น

เช่น หากฝรั่งสักคนวิจารณ์ว่า เมืองไทยเต็มไปด้วยโสเภณี
คนไทยจะเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างหาที่สุดมิได้

ในทางกลับกัน หากคนไทย หรือเมืองไทยไปติดอันดับอะไรสักอย่างของโลก เช่น
ทำธูปดอกใหญ่ที่สุดในโลก คนไทยจะปลาบปลื้ม
ราวกับได้ส่งยานอวกาศขึ้นไปดวงจันทร์เป็นประเทศแรกของโลก
หรือหากมีคนไทยสักคนไปเปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศแล้วประสบความสำเร็จ
มีนักการเมือง มีดารา มีคนดังจากทั่วโลกไปกิน ด้วยเคสนี้เคสเดียว
สังคมไทยสามารถเอามาขยายความและอธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแควถึงความโดดเด่น
ลึกซึ้ง ซับซ้อนของอาหารไทยซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง "อารยธรรม"
ของไทยที่สูงส่ง ประณีต ไม่แพ้ชาติใดในโลก

(นอกจากจะไม่แพ้แล้วยังชนะอีกด้วย)

คนไทยไม่ยักกะคิดว่า ความอร่อยก็เป็นส่วนหนึ่ง
แต่ที่สำคัญการไปกินอาหารจากประเทศแปลกๆ นั้นเป็นความ "ฮิป"
อย่างหนึ่งของคนดังในประเทศโลกที่ 1 น่ะเธอ...

แหม ถ้าภายในปีสองปีนี้ประเทศไทยได้อัพเกรดเป็นประเทสโลกที่หนึ่งกับเค้าบ้าง
รับรอง คนดัง ดารา นักการเมือง และบุคคลฮิปๆ
ทั้งหลายต้องเฮโลกันไปกินร้านอาหารเอธิโอเปีย ซิมบับเว หรือ อุสเบกิซสถาน
กันเป็นแน่แท้



ประเด็นเรื่องไทยแท้ไทยไม่แท้ยังมิทันจางหาย
ข่าวกระทรวงศึกษาธิการออกมายกเลิกประกาศที่บอกว่า
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองของไทยด้วย
มันทิ้งร่องรอยความรู้สึกถึงการเป็นอาณานิคมของสยามประเทศเราจังเลย

หากประกาศนี้มีขึ้นในสมัยแรกสร้างชาติของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฉันคงไม่แปลกใจ

ทว่า ในปี 2010 มันชวนให้คิดว่า "อ้าว
จะมาอ่อนไหวในประเด็นอาณานิคมอะไรในตอนนี้เล่า?"

ชะรอย ประเทศไทยจะเป็นเด็กพัฒนาการช้า เพราะดูจากหลายๆ เรื่อง (เช่น
พัฒนาการของประชาธิปไตย)
เรามีพัฒนาการที่ช้ากว่าประเทศที่เกิดรุ่นราวคราวเดียวกันนับร้อยปีทีเดียว
ประเทศที่พัฒนาการปกติได้ก้าวข้ามเรื่องภาษากับอัตลักษณ์ของชาติไปสักสอง
หรือสามชาติแล้วมั้ง?

เพราะรู้แล้วว่า
ยิ่งพลเมืองรู้หลายภาษาเท่าไหร่ยิ่งมีความได้เปรียบในการทำมาหากินมากเท่า
นั้น ไม่เพียงแต่เรื่องการทำมาหากิน
ยิ่งหลากหลายภาษาก็ยิ่งได้เปรียบในการแสวงหาความรู้
และรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลก

ลองคิดดูว่า คนลาวนั้นได้เปรียบคนไทยแค่ไหนที่ฟัง อ่าน
และเขียนภาษาไทยได้ คนลาวย่อมได้อ่านทั้งหนังสือพิมพ์ไทย
และหนังสือพิมพ์ลาว ได้ดูทั้งทีวีไทย ทีวีลาว ดูทั้งหนังไทยหนังลาว
ในขณะที่คนไทยไม่รู้เรื่องประเทศลาวแม้แต่กระผีกริ้น กระนั้น
ยังมานั่งทำหน้าเย่อหยิ่งจองหองว่า "ชั้นไม่ลดตัวไปเรียนภาษาบ้านนอกๆ
พรรค์นั้นหรอกย่ะ"

ยัง ยังไม่พอ คนไทยยังสนุกสนานกับการนำมาภาษาลาวมาทำเป็นเรื่องขำขัน
ล้อเลียน หัวเราะเยาะ ทั้งๆ ที่คนที่ควรจะถูกหัวเราะอย่างที่สุดคือคนไทย
ที่นอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษกระท่อนแระแท่นแล้ว
ก็ไม่เห็นจะรู้ภาษาอะไรอื่น

(อย่าลืมว่าคนลาวที่มีการศึกษา ยังรู้ภาษาฝรั่งเศส และรัสเซียอีกด้วย)

พระสงฆ์ทางเขมรนั้น ได้เข้ามาศึกษาต่อที่เมืองไทยไม่น้อย
ฉันมีโอกาสได้พบกับพระเขมรที่มาเรียนหนังสือที่ประเทศไทย
ท่านตั้งอกตั้งใจเรียนภาษาไทย อ่านภาษาไทย และพูดไทยได้คล่องเปรี๊ยะ
สำเนียงชัดแจ๋ว แต่ถามว่า ทางฝ่ายคนไทยมีใครอยากเรียนรู้ภาษาเขมร
อยากอ่านหนังสือเขมรบ้าง?

ในการเปรียบเทียบเช่นนี้
เราอาจมีคำตอบให้กับคนไทยที่ไม่เคยสนใจยากเรียนภาษาอินโดนีเซีย ลาว ยาวี
มาเลย์ พม่า ไทใหญ่

(ทั้งๆ ที่เป็นภาษาสำคัญที่จะทำให้เราอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างสร้างสรรค์
และฉันเคยเขียนไว้หลายครั้งในเรื่องที่เราขาดแคลนงานวรรณกรรมแปลของประเทศ
เพื่อนบ้าน เช่น นอกจากงานของปราโมทยา แล้ว
เราได้อ่านวรรณกรรมร่วมสมัยเรื่องใดของ อินโดนีเซียบ้าง?)

ว่า มันอาจเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ คนอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอื่นๆ
เพราะภาษาอังกฤษคือภาษาของโลก หากคุณพูดภาษาอังกฤษได้
คุณก็อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ และหากไม่อยากแสวงหาความรู้อะไรที่พิสดาร
พันลึก หรือที่เป็นหลักฐานชั้นต้นจริงๆ แล้ว การรู้ภาษาอังกฤษภาษาเดียว
ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ
ที่มีอยู่ในโลกนี้มากสักเท่าใด

แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า ครั้งหนึ่ง
อังกฤษเป็นอาณาจักรที่มีเมืองขึ้นอยู่ทั่วโลกจริงๆ เคยยิ่งใหญ่มากจริงๆ
และภาษาอังกฤษ กลายเป็นภาษากลางของโลกแล้วจริงๆ
ในขณะที่อาณาจักรไทยนอกจากจะไม่ได้เป็นเจ้าอาณานิคมของใครอย่างเต็มรูปแบบ
แล้ว ยังปริ่มๆ อยู่ในสถานะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษเสียด้วยซ้ำไป

ดังนั้น คนไทยพึงตระหนักว่าเราไม่อาจทำเย่อหยิ่ง เหยียดหยาม คนลาว คนเขมร
เวียดนาม พม่า อีกทั้งทำตัวเริ่ด เชิ่ด ว่าพวกแกนั่นแหละ
สมควรต้องมาเรียนภาษาของชั้น เพราะชั้นเจริญกว่า ก้าวหน้ากว่า
มิใช่ให้พวกชั้นไปเรียนภาษาของพวกแก

ไม่เพียงแต่ต้องเลิกดูถูกดูแคลนผู้อื่นและตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอย่างไม่
รังเกียจรังงอน เพราะดูเหมือนความสามารถทางภาษาอังกฤษของเด็กไทยโดยเฉลี่ยนั้น
ติดอันดับรั้งท้ายของโลกเลยทีเดียว

(เลิกพูดเสียทีว่า ที่เราไม่รู้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน
ก็เพราะว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของไทย)

สังคมไทยพึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง ลาว
พม่า เวียดนาม เขมร อินโดนเซีย มาเลย์ ยาวี สำคัญไปกว่านั้น
การส่งเสริมให้เรียนภาษาสำคัญๆ
ของโลกอย่างอาหรับก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและสมควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง

การเรียนรู้ภาษา วรรณคดี
ประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านมิใช่ด้วยเหตุผลเพียง รู้เขารู้เรา
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่เพื่อสร้างความเข้าใจ
และความเคารพต่อเพื่อนบ้าน (แทนที่จะมานั่งแย่งบันไดขึ้นปราสาทกัน)
บนพื้นฐานของความรู้
มิใช่ด้วยพื้นฐานของอคติทางประวัติศาสตร์ที่พวกเราเขียนกันเอง เออกันเอง
อวยกันเอง หรือ

ในทางตรงกันข้าม ก็เข้าไปอคติแห่งความลุ่มหลงใน "อารยธรรม"
ประเทศเพื่อนบ้านในฐานะที่เป็นวัตถุแห่งความประหลาด อัศจรรย์ จรรโลงใจ
อันเป็นทัศนคติของเหล่าเจ้าอาณานิคมอยู่นั่นเอง (เช่น ชมชอบความซื่อใส
บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของวัฒนธรรมหลวงพระบาง)

พ้นไปจากความเคารพในกันและกันบนฐานของความรู้แล้ว
ยังจะนำไปสู่การพัฒนาร่วมกันของภูมิภาคในฐานะที่เป็นหน่วยทางสังคม
การเมือง เศรษฐกิจแห่งหนึ่งของโลก ลองนึกภาพ คนไทยพูดได้ ภาษาไทย พม่า
ลาว มาเลย์ หรือ เวียดนาม คล่องแคล่ว แล้วค้าขาย เดินทาง
พัฒนาการท่องเที่ยว ฯลฯ ด้วยกันกับเหล่าประเทศเพื่อนบ้าน
หรือนักเขียนในภูมิภาคนี้ จัดสัมมนา อ่าน พิมพ์ ขายหนังสือ
ข้ามพรมแดนกันไปมาอย่างสามัญ โอ้ววว มันต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ

(ฝันกลางวันได้แล้ววว)



สํา หรับฉัน สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยตอนนี้คือ
ไม่ใช่การตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า การประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
ทำให้เราดูไร้ศักดิ์ศรี ดูเป็นประเทศอาณานิคม

เพราะตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ประเทศดูแย่กว่าการที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณานิคม
คือการเกิดรัฐประหารนับครั้งไม่ถ้วน
และอาการสะลึมสะลือโดนยาสั่งของคนไทยจำนวนมากที่ยังหลงเชื่อว่าประเทศของตน
มีอะไรบางอย่างที่ประเทศอื่นไม่มี

และนั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เรามั่นใจว่าประเทศของเราดีเลิศประเสริฐศรี
กว่าประเทศอื่น มีความสุขกว่าประเทศอื่น สามัคคีกว่า
มีรอยยิ้มมากกว่าประเทศอื่น โชคดีกว่าประเทศอื่น มีน้ำใจกว่าประเทศอื่น

(สังเกตจากการช่วยเหลือน้ำท่วม มีสโลแกนสำคัญว่า "คนไทยไม่ทิ้งกัน"
อันชวนให้คิดว่า คนอเมริกันที่ไปช่วยคนที่เจอพายุแคทรีน่า จะมีคำขวัญ
คนอเมริกันไม่ทอดทิ้งกันบ้างหรือเปล่า?
ยังไม่ต้องถกเถียงต่อในประเด็นที่ว่า
การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเราควรช่วยในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์
โดยไม่ต้องคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนชาติใด หรือภาษาใด นอกจากนี้
ยังไม่ได้พูดต่อไปในเรื่องที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดภัยธรรมชาติ
สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญมากไม่น้อยไปกว่าเรื่อง "ธารน้ำใจ"
คือประสิทธิภาพของรัฐในการเตือนภัย การอพยพผู้คน ก่อนจะเกิดภัยพิบัติ
หรือแม้กระทั่งสาเหตุของปัญหาภัยพิบัติที่ต้องการการแก้ไขในระยะยาว)

แต่สิ่งที่จำเป็นต่อสังคมไทยอย่างยิ่งในเวลานี้
คือการตื่นขึ้นมาแล้วตระหนักรับรู้ถึงความกระจอกงอกง่อยของตนเอง
รับรู้ถึงกำเนิดของประเทศอย่างที่มันเป็น ว่ามันไม่ได้กำเนิด เติบโต
มาด้วยน้ำมือของมหาบุรุษ หรือสตรีคนใดคนหนึ่ง

ไม่ได้ยิ่งใหญ่ โสภา แต่อุบัติขึ้นท่ามกลางการแตกหัก ความขัดแย้ง
เงื่อนไข ปัจจัยหลายประการ
ทั้งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การถือกำเนิดขึ้นของอีกหลายร้อยประเทศบน
โลกใบนี้ และมันอาจจะชัดเจนขึ้น หากเราได้เปรียบเทียบ "ชาติกำเนิด"
ของเราร่วมกับชาติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ย
และภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน

สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยตอนนี้ คือการตระนักว่า
ประเทศของตนเองยังด้อยพัฒนา ล้าหลัง ยากจน มีความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม

(คนมีตังค์ส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติเพื่อจะได้เก่งภาษาทำมาหากินคล่อง
แต่พอมาถึงคนธรรมดาสามัญ กลับบอกว่าอย่ารู้ภาษาอังกฤษมาก
เพราะเราไม่ใช่ประเทศอาณานิคม)
คนไทยไม่ได้มีความสามารถพิเศษมากกว่าคนชาติอื่น ไม่ได้ละเมียด
ซับซ้อนอะไรนักหนา ศิลปะ วัฒนธรรมไทยก็งั้นๆ
(แต่ไม่ได้แปลว่าพัฒนาให้ดีขึ้นไม่ได้)
-เมื่อไหร่จะยอมรับความจริงกันเสียที

วินาทีนี้หากจะถามฉันว่า อะไรคือสิ่งที่ authentic ที่สุดในวัฒนธรรมไทย
ก็คงบอกได้ว่า "ก็วัฒนธรรมการล่อลวงให้คนไทยลุ่มหลงตนเองอย่างหน้ามืดตามัวน่ะสิ
authentic แท้ไม่มีใครเกิน"

มติชนสุดสัปดา์ห์ ฉ. 1576

Friday, October 29, 2010

คลิปศาล รธน. ระลอกสอง ว่อนอีก

www.prachatai.com/journal/2010/10/31685

คลิปศาล รธน. ระลอกสอง ว่อนอีก

Sat, 2010-10-30 04:43

คลิปซึ่งถูกอ้างว่าเป็นบทสนทนาของตุลการศาลรัฐธรรมนูญหลุดอีก 3 ตอน เนื้อหาตั้งรับสถานการณ์หลังคลิปหลุดระลอกแรก ซับไตเติ้ลระบุชื่อ พิสิฐ จรูญ และสุพจน์

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. มีการเผยแพร่คลิปพร้อมซับไตเติ้ล โดยใช้ชื่อว่า “พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย” 3 ตอนต่อเนื่อง ผ่านเว็บไซต์ยูทูปว์ และระบุว่าเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคลที่ชื่อว่า พิสิฐ จรูญ และสุพจน์ เกี่ยวกับการเผยแพร่คลิปซึ่งมีการอ้างว่าเป็นบทสนทนาของข้าราชการระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญกเกี่ยวกับการยุบพรรคประชาธิปัตย์

โดยคลิปทั้งหมดถูกโพสต์โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ohmygod3009 ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการยูทูปว์รายเดียวกันกับที่โพสต์คลิปที่ถูกอ้างว่าเป็นบทสนทนาของข้าราชการระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญและทนายความของพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 5 คลิปก่อนหน้านี้

สำหรับคลิปทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้

พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 1 
เขียนบรรยายคลิปว่า “การปรึกษาหารือของตุลาการ( จรูญ, สุพจน์ ) เพื่อจะแก้ปัญหา คลิปที่ถูกบันทึกในกรณีที่พวกตัวเองลักลอบ เอาข้อสอบไปให้ญาติและพวกตัวเองอ่านก่อนสอบ ชึ่งตุลาการเกือบทั้งคณะ สมคบกัน มีทั้งชื่อผู้ให้และผู้รับ ครบกันถ้วนหน้า ยากที่จะแก้ตัวว่าถูกจัดฉากเพราะบทสนทนาคือคำสารภาพ ที่ล่อนจ้อน”

2 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 2 
เขียนบรรยายคลิปว่า “ต่อเนื่องจากตอนที่ 1”

3 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่3 เขียนบรรยายคลิปว่า

“การให้คำแนะนำพรรคพวกในการให้ข่าว หากมีการนำบทสนทนา ที่นำข้อสอบไปให้ญาติ และพรรคพวก ถูกเปิดโปงออกมา โดยโยนให้เป็นเรื่อง ของขบวนการทำลายเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และคลิปมีการตัดต่อโดยอ้างว่า อภิสิทธิ์ก็โดนเช่นกัน อีกทั้ง คนของพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง การนำคลิปไปเผยแพร่.

"(ท่านเห็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเยี่ยงจิ้งจอกของบุคคลกลุ่มนี้ในคราบของตุลาการ ท่านคิดว่าประเทศไทยจะอยู่อย่างไร ศาลสั่งได้จริงหรือเปล่า ลองไปนึกถึงคำตัดสิน กรณีต่างๆใช้ทั้งอารมณ์ เปิดทั้งพจนานุกรม และขาดชึ่งมาตรฐานตามหลักสากล)

"หมายเหตุ: ภายหลังคลิปนี้คงมีคำสั่งให้ตุลาการพวกนี้ออกเพื่อให้องค์คณะไม่ครบ จึง ทำกระบวนการพิพากษาชะงักงัน การยุบพรรคจึงต้องทอดเวลาออกไป ประชาธิปัตย์ก็ทำหน้าที่รัฐบาลต่อไปอีก หรือ ทำการยึดอำนาจเพื่อแก้ปัญหาศาลรัฐธรรมนูญถูกคุกคาม เพราะตุลาการจัดฉาก และสารภาพด้วยตนเอง นี่คือตัวอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เริ่มทำงาน แล้ว”

ทั้งนี้ ภายหลังที่คลิปชุดแรกแพร่สะพัดออกไป มีการพยายามค้นหาว่าใครเป็นผู้เผยแพร่คลิปโดยทางกองปราบระบุว่าจะดำเนินการออกหมายจับผู้เผยแพร่คลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวการมีการถอดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ออกจากตำแหน่งเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่นายพสิษฐ์นั้นเดินทางออกนอกประเทศไปก่อนหน้านั้นแล้ว

นอกจากนี้ ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ยังฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยด้วยข้อหาหมิ่นประมาทจากการเผยแพร่คลิปชุดดังกล่าว

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้แถลงเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคลิปที่อ้างว่าเป็นบันทึกการสนทนา ระหว่างเจ้าหน้าที่ตุลาการระดับสูงและทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุเป็นปัญหาความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม หากทำจริงต้องลาออก และอย่าเบี่ยงประเด็นที่มาของคลิป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาข้อเท็จจริงในคลิปชุดแรกว่าใครเป็นผู้ปล่อยคลิปและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีพฤติกรรมตามที่ปรากฏในคลิปจริงหรือไม่ ก็มีการเผยแพร่คลิประลอกที่ 2 ออกมาดังกล่าว

Thursday, October 28, 2010

Podcasts from “On the Brink: Human Rights in Thailand”

http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/10/28/podcasts-from-on-the-brink-human-rights-in-thailand/

Podcasts from "On the Brink: Human Rights in Thailand"

October 28th, 2010 by Tyrell Haberkorn, Guest Contributor · 2 Comments

On Friday, 22 October 2010, a two-part workshop titled "On the Brink: Human Rights in Thailand" was held at the Australian National University in Canberra.

Australian, Thai and other scholars, students, and community members gathered to talk about the present crisis for human rights in Thailand, as well as its historical origins in particular forms of sovereignty and illiberalism. Amidst the crisis, the panelists talked about the risks of uttering dissenting speech and considered various repressive mechanisms within Thailand. The reason why the event was called 'On the Brink' is that the future of rights in Thailand is anything but decided. The use of human rights discourse by a range of actors means that this is a very intriguing time. Instead of 'rights' being dismissed by the state, 'rights' are another terrain in which the state and the people – and the permutations and articulations between them – are battling for dominance and the determination of truth.

Introduction and Panel 1, which includes:

  • Andrew Walker and Nicholas Farrelly, "International Academics and Human Rights in Thailand: Reflections from New Mandala" (listen here).

Panel 2, which includes:

  • Craig Reynolds, "Crimes Against the Sovereign Body"
  • Thanet Aphornsuvan, "The il-liberalism of Thai politics or the political ignorance of the bourgeoisie"
  • David Streckfuss, "Certain Inconvenient Realities and the Lese Majeste Law in Thailand" (listen here).

The public event was the first part of a longer process of building an international network of scholars, students, practitioners and others concerned with human rights in Thailand. Stay posted for further details in the coming weeks!

Wednesday, October 27, 2010

Thailand, the ICC, and Crimes Against Humanity

http://www.robertamsterdam.com/2010/10/thailand_the_icc_and_crimes_against_humanity.htm

Thailand, the ICC, and Crimes Against Humanity

fabio_polenghi.jpg

This week my law firm participated in the filing of a preliminary report on behalf of the Thai Red Shirt movement and others to notify the prosecutor of the International Criminal Court with regard to the situation of recent political violence, arguing that an investigation into the alleged commission of crimes against humanityby the authorities is merited.

In the preparation of this document as well as other future filings, our team on the ground in Bangkok has interviewed at length dozens of witnesses and survivors for details of the events which resulted in the violent crackdown of the Red Shirt protest camp. These testimonies, published for the first time in this document, are a chilling reminder of the urgency of international action on this issue (see excerpt below). At the bottom of this post is an embedded link to the full document.





Anonymous Witness 6 and Anonymous Witness 9 were present at the demonstration near the Ratchaprasong intersection on May 19. At approximately 13:00 hours, the Red Shirt leaders surrendered and advised everyone to go to the Pathumwanaran temple complex for safe refuge. In the temple, the witnesses report everyone was peaceful. As it was notsafe outside, people could not go home yet. Between 16:00 and 17:00, witnesses reported seeing five soldiers on the lower train track of the BTS platform in front of the entrance to the temple, many meters above street level, from where they could see directly into the temple area. Inside the temple, the first aid tent was clearly marked with a red cross. At about 18:30 the soldiers started to shoot into the temple area, without warning. At that time, the first aid tent and medical volunteers also came under fire. Three nurses were shot, Kamibked Akhard, Mongkol Kemthong, and Akkharadej Khankaew, who slowly died. These soldiers from the First Region Army shot at everything that moved, preventing anyone to reach the first aid tent to help. At 19:00 hours, a group of soldiers came shouting obscenities at the people assembled inside the temple. When some tried to drag the bodies of the nurses to safer area into the temple ground, the soldiers targeted them again. The shooting stopped at approximately 20:00 hours. The next morning, six dead bodies were lined up in the rear garden of the temple area. Several other witnesses that provided statements corroborate this account.

Officially, an additional sixty civilians died during the weeklong crackdown that resulted in the Red Shirts' dispersal on May 19. Despite repeated accusations of "terrorism" leveled at the UDD, no security forces died during the operations, while none of the people gunned down by the authorities proved to have been carrying weapons.

Once again, in crushing the Red Shirts the Abhisit administration and Royal Thai Army appear to have ignored crowd control principles altogether. Contrary to "international standards such as the "United Nations Basic Principles on the Use of Force and Fire Arms by Law Enforcement Officials," its dispersal operations made little use of "non-lethal incapacitating weapons." No care whatsoever appears to have been taken to "minimize the risk of endangering uninvolved persons" and to "preserve human life." Its shoot-to-kill policy for demonstrators burning tires and setting off firecrackers does not appear to constitute a response undertaken "in proportion to the seriousness of the offense." Attacks on medical workers were not ordered in the interest of ensuring that "assistance and medical aid are rendered to any injured or affected persons at the earliest possible moment." Even if the Red Shirts demonstrations could be regarded as "violent" and "unlawful" -- if only because the State of Emergency declared them to be illegal -- the wealth of eyewitness accounts that emerged from the government's live fire zones strongly suggests that the use of force was not limited to the "minimum extent necessary."

Preliminary Report into the Situation of the Kingdom of Thailand With Regard to the Commission of Crimes Ag...

Thai opposition urges world court to probe violence

http://www.google.com/hostednews/afp/article/ALeqM5giAZDpIjhHFig5WTUy_uNH-_y3qg?docId=CNG.e3cbbf9f1076ed9b3efd06509091aa95.401

Thai opposition urges world court to probe violence

BANGKOK — Thailand's "Red Shirt" anti-government movement has urged the International Criminal Court to investigate possible crimes against humanity by Prime Minister Abhisit Vejjajiva's government.

The petition argues that the country's political and military leadership are "criminally liable" for actions taken during two months of mass opposition protests in April and May that left more than 90 people dead, mainly civilians.

The Red Shirts, many of whom support fugitive former premier Thaksin Shinawatra, accuse the government of a "massive cover-up", according to details posted on the website of Thaksin's Canadian lawyer Robert Amsterdam.

He said his firm was involved in the filing of the "preliminary report", based on interviews with dozens of witnesses and survivors, at the Hague-based ICC this week.

Thailand's government said it was aware of the complaint, but did not believe it would be taken up by the court.

"I have been informed by the ministry of foreign affairs about the case," said government spokesman Panitan Wattanayagorn.

"But as I understand it this is not within the scope of the International Criminal Court's jurisdiction," he added.

The two-month rally by the Reds attracted up to 100,000 people demanding immediate elections, but was broken up by soldiers firing live ammunition.

The petition says the army was "given the authority to shoot the mostly unarmed demonstrators on sight," noting that at one point the authorities designated certain areas as live fire zones.

On April 10, during a failed military attempt to clear part of Bangkok's historic district of protests, troops "fired thousands of rounds of live ammunition directly into the unarmed Red Shirt crowd," it says.

It cites the examples of one man whose brains were blown out by a rifle shot while carrying a Red Shirt banner, and a renegade general allied to the Reds who was killed by a sniper while giving an interview to a foreign reporter.

At the time Abhisit accused "terrorists" of inciting the violence. His government said its troops were only allowed to fire live rounds in self defence, as warning shots or against armed militants.

Abhisit promised an investigation into the deaths but the opposition has denounced the probe as a "whitewash".