Saturday, October 30, 2010

คำ ผกา - หลงว่าดีไม่มีใครเกิน

หน้า 89
คำ ผกา

หลงว่าดีไม่มีใครเกิน

ลูก สาวเพื่อนไปประกวดการแสดงศิลปะไทย เธอไปฟ้อน หรือ รำ
อะไรฉันก็จำไม่ได้ แต่จำคอมเมนต์ของกรรมการที่มีให้เธอว่า
การแสดงของเธอนั้น "ไม่ authentic พอ" แปลว่า มันดูไทยแต่ไม่แท้
อันชวนให้ฉงนฉงาย การฟ้อนรำหรือแสดงอันใดที่เป็นของไทยแท้ และauthentic

แอบคิดต่อว่า ถ้าน้องเค้าสำแดงความจริงแท้ปราศจากสิ่งปลอมปนด้วยการสาธิต
การฆ่าควาย หลั่งเลือดมาเป็นบัดพลีให้ผีปู่แสะย่าแสะ อันเป็นทั้งศิลปะ
ทั้งวัฒนธรรม ทั้งพิธีกรรม ทั้งการร่ายรำ
ขับขานและอันนี้น่าจะเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังมิได้ปลอมปนศิลปะขอม แขก
หรือ จีน

หากกรรมการท่านจะยังบ่นอีกหรือไม่ว่า เอ้อ อันนี้ไม่ authentic
เพราะไม่อย่างนั้นจะลองแสดงท่าองค์ลงประทับ
หยิบเนื้อควายดิบมาฉีกกินจนเลือดย้อยมุมปาก รับรองว่า authentic
จริงแท้แน่นอน

(แต่กรรมการอาจบอกว่า
นั่นเป็นวัฒนธรรมอันป่าเถื่อนของชาวล้านนาประเทศมิใช่ไทย ก็เป็นได้)

ถามต่อว่าแล้วอย่างไรที่เรียกว่าไทยแท้อย่างที่กรรมการอยากเห็น
พบว่าคุณสมบัติข้อหนึ่งคือ
การแต่งชุดไทยนั้นหากไม่แต่งหน้าถือว่าไม่ใช่ชุดไทย

หมายเหตุเพิ่มเติมว่า
ลูกสาวเพื่อนอาจจะคิดนอกกรอบไปสักนิดด้วยการบังอาจสำแดงการร่ายรำในชุดไทยโดยมิได้แต่งหน้า

ปั๊ดโธ่! นังหนู ไม่เห็นเหรอว่าตอนประกวดนางสาวไทย นางงามใส่ชุดไทย
แล้วต้องต้องแต่งหน้าเข้มเป็นนางละคร เขียวเข้าไว้ แดงเข้าไว้
ไม่อย่างนั้นมันไม่ไทย



ในชีวิตของฉันหากถามว่าสิ่งใดยอกย้อน
และอธิบายได้ยากที่สุดก็น่าจะคือความเป็นไทย
และการรับรู้เกี่ยวกับความเป็นไทยของคนไทย

ในเวทีหนึ่งเราสามารถพูดเรื่องวัฒนธรรมไทยที่เราเชื่อว่าได้รับอิทธิพล
อินเดีย ขอม มอญ ลาว จีน แต่ขณะเดียวกัน
เราก็สามารถเชื่อมั่นว่ามันมีความเป็นไทยที่แท้อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
และช่วยไม่ได้ที่เราจะรู้สึกว่า
สิ่งที่ตกผลึกหลายเป็นความไทยแท้แสนออเตนติกนั้น มันช่างสูงส่งเลิศเลอ
น่าภาคภูมิใจ

และเหตุที่อะไรๆ ของไทยมันก็ดีเลิศประเสริฐศรีกว่าผู้อื่น
ก็เนื่องจากคนไทยนั้นมีความสามารถพิเศษในการคัดกรองคัดสรร
เลือกรับแต่สิ่งที่ดีๆ มาจากทุกวัฒนธรรม
จากนั้นผสมผสานกับคุณสมบัติอันโดดเด่นที่มีอยู่เดิมของไทย
(อันไม่ชัดเจนว่าคืออะไร) มันจึงดันให้อะไรก็ตามของไทยมันจี๊ดจ๊าด
ดีงามกว่าชนชาติอื่นเสมอ

ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากว่า
แม้คนไทยจะมั่นอกมั่นใจในความดีเลิศประเสริฐศรีของตนเอง
คนไทยนี่แหละกลับเป็นคนที่เปราะบางที่สุดเมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์
หรือโดนท้าทายจากคนในวัฒนธรรมอื่น

เช่น หากฝรั่งสักคนวิจารณ์ว่า เมืองไทยเต็มไปด้วยโสเภณี
คนไทยจะเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างหาที่สุดมิได้

ในทางกลับกัน หากคนไทย หรือเมืองไทยไปติดอันดับอะไรสักอย่างของโลก เช่น
ทำธูปดอกใหญ่ที่สุดในโลก คนไทยจะปลาบปลื้ม
ราวกับได้ส่งยานอวกาศขึ้นไปดวงจันทร์เป็นประเทศแรกของโลก
หรือหากมีคนไทยสักคนไปเปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศแล้วประสบความสำเร็จ
มีนักการเมือง มีดารา มีคนดังจากทั่วโลกไปกิน ด้วยเคสนี้เคสเดียว
สังคมไทยสามารถเอามาขยายความและอธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแควถึงความโดดเด่น
ลึกซึ้ง ซับซ้อนของอาหารไทยซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง "อารยธรรม"
ของไทยที่สูงส่ง ประณีต ไม่แพ้ชาติใดในโลก

(นอกจากจะไม่แพ้แล้วยังชนะอีกด้วย)

คนไทยไม่ยักกะคิดว่า ความอร่อยก็เป็นส่วนหนึ่ง
แต่ที่สำคัญการไปกินอาหารจากประเทศแปลกๆ นั้นเป็นความ "ฮิป"
อย่างหนึ่งของคนดังในประเทศโลกที่ 1 น่ะเธอ...

แหม ถ้าภายในปีสองปีนี้ประเทศไทยได้อัพเกรดเป็นประเทสโลกที่หนึ่งกับเค้าบ้าง
รับรอง คนดัง ดารา นักการเมือง และบุคคลฮิปๆ
ทั้งหลายต้องเฮโลกันไปกินร้านอาหารเอธิโอเปีย ซิมบับเว หรือ อุสเบกิซสถาน
กันเป็นแน่แท้



ประเด็นเรื่องไทยแท้ไทยไม่แท้ยังมิทันจางหาย
ข่าวกระทรวงศึกษาธิการออกมายกเลิกประกาศที่บอกว่า
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองของไทยด้วย
มันทิ้งร่องรอยความรู้สึกถึงการเป็นอาณานิคมของสยามประเทศเราจังเลย

หากประกาศนี้มีขึ้นในสมัยแรกสร้างชาติของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฉันคงไม่แปลกใจ

ทว่า ในปี 2010 มันชวนให้คิดว่า "อ้าว
จะมาอ่อนไหวในประเด็นอาณานิคมอะไรในตอนนี้เล่า?"

ชะรอย ประเทศไทยจะเป็นเด็กพัฒนาการช้า เพราะดูจากหลายๆ เรื่อง (เช่น
พัฒนาการของประชาธิปไตย)
เรามีพัฒนาการที่ช้ากว่าประเทศที่เกิดรุ่นราวคราวเดียวกันนับร้อยปีทีเดียว
ประเทศที่พัฒนาการปกติได้ก้าวข้ามเรื่องภาษากับอัตลักษณ์ของชาติไปสักสอง
หรือสามชาติแล้วมั้ง?

เพราะรู้แล้วว่า
ยิ่งพลเมืองรู้หลายภาษาเท่าไหร่ยิ่งมีความได้เปรียบในการทำมาหากินมากเท่า
นั้น ไม่เพียงแต่เรื่องการทำมาหากิน
ยิ่งหลากหลายภาษาก็ยิ่งได้เปรียบในการแสวงหาความรู้
และรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลก

ลองคิดดูว่า คนลาวนั้นได้เปรียบคนไทยแค่ไหนที่ฟัง อ่าน
และเขียนภาษาไทยได้ คนลาวย่อมได้อ่านทั้งหนังสือพิมพ์ไทย
และหนังสือพิมพ์ลาว ได้ดูทั้งทีวีไทย ทีวีลาว ดูทั้งหนังไทยหนังลาว
ในขณะที่คนไทยไม่รู้เรื่องประเทศลาวแม้แต่กระผีกริ้น กระนั้น
ยังมานั่งทำหน้าเย่อหยิ่งจองหองว่า "ชั้นไม่ลดตัวไปเรียนภาษาบ้านนอกๆ
พรรค์นั้นหรอกย่ะ"

ยัง ยังไม่พอ คนไทยยังสนุกสนานกับการนำมาภาษาลาวมาทำเป็นเรื่องขำขัน
ล้อเลียน หัวเราะเยาะ ทั้งๆ ที่คนที่ควรจะถูกหัวเราะอย่างที่สุดคือคนไทย
ที่นอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษกระท่อนแระแท่นแล้ว
ก็ไม่เห็นจะรู้ภาษาอะไรอื่น

(อย่าลืมว่าคนลาวที่มีการศึกษา ยังรู้ภาษาฝรั่งเศส และรัสเซียอีกด้วย)

พระสงฆ์ทางเขมรนั้น ได้เข้ามาศึกษาต่อที่เมืองไทยไม่น้อย
ฉันมีโอกาสได้พบกับพระเขมรที่มาเรียนหนังสือที่ประเทศไทย
ท่านตั้งอกตั้งใจเรียนภาษาไทย อ่านภาษาไทย และพูดไทยได้คล่องเปรี๊ยะ
สำเนียงชัดแจ๋ว แต่ถามว่า ทางฝ่ายคนไทยมีใครอยากเรียนรู้ภาษาเขมร
อยากอ่านหนังสือเขมรบ้าง?

ในการเปรียบเทียบเช่นนี้
เราอาจมีคำตอบให้กับคนไทยที่ไม่เคยสนใจยากเรียนภาษาอินโดนีเซีย ลาว ยาวี
มาเลย์ พม่า ไทใหญ่

(ทั้งๆ ที่เป็นภาษาสำคัญที่จะทำให้เราอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างสร้างสรรค์
และฉันเคยเขียนไว้หลายครั้งในเรื่องที่เราขาดแคลนงานวรรณกรรมแปลของประเทศ
เพื่อนบ้าน เช่น นอกจากงานของปราโมทยา แล้ว
เราได้อ่านวรรณกรรมร่วมสมัยเรื่องใดของ อินโดนีเซียบ้าง?)

ว่า มันอาจเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ คนอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอื่นๆ
เพราะภาษาอังกฤษคือภาษาของโลก หากคุณพูดภาษาอังกฤษได้
คุณก็อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ และหากไม่อยากแสวงหาความรู้อะไรที่พิสดาร
พันลึก หรือที่เป็นหลักฐานชั้นต้นจริงๆ แล้ว การรู้ภาษาอังกฤษภาษาเดียว
ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ
ที่มีอยู่ในโลกนี้มากสักเท่าใด

แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า ครั้งหนึ่ง
อังกฤษเป็นอาณาจักรที่มีเมืองขึ้นอยู่ทั่วโลกจริงๆ เคยยิ่งใหญ่มากจริงๆ
และภาษาอังกฤษ กลายเป็นภาษากลางของโลกแล้วจริงๆ
ในขณะที่อาณาจักรไทยนอกจากจะไม่ได้เป็นเจ้าอาณานิคมของใครอย่างเต็มรูปแบบ
แล้ว ยังปริ่มๆ อยู่ในสถานะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษเสียด้วยซ้ำไป

ดังนั้น คนไทยพึงตระหนักว่าเราไม่อาจทำเย่อหยิ่ง เหยียดหยาม คนลาว คนเขมร
เวียดนาม พม่า อีกทั้งทำตัวเริ่ด เชิ่ด ว่าพวกแกนั่นแหละ
สมควรต้องมาเรียนภาษาของชั้น เพราะชั้นเจริญกว่า ก้าวหน้ากว่า
มิใช่ให้พวกชั้นไปเรียนภาษาของพวกแก

ไม่เพียงแต่ต้องเลิกดูถูกดูแคลนผู้อื่นและตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอย่างไม่
รังเกียจรังงอน เพราะดูเหมือนความสามารถทางภาษาอังกฤษของเด็กไทยโดยเฉลี่ยนั้น
ติดอันดับรั้งท้ายของโลกเลยทีเดียว

(เลิกพูดเสียทีว่า ที่เราไม่รู้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน
ก็เพราะว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของไทย)

สังคมไทยพึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง ลาว
พม่า เวียดนาม เขมร อินโดนเซีย มาเลย์ ยาวี สำคัญไปกว่านั้น
การส่งเสริมให้เรียนภาษาสำคัญๆ
ของโลกอย่างอาหรับก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและสมควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง

การเรียนรู้ภาษา วรรณคดี
ประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านมิใช่ด้วยเหตุผลเพียง รู้เขารู้เรา
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่เพื่อสร้างความเข้าใจ
และความเคารพต่อเพื่อนบ้าน (แทนที่จะมานั่งแย่งบันไดขึ้นปราสาทกัน)
บนพื้นฐานของความรู้
มิใช่ด้วยพื้นฐานของอคติทางประวัติศาสตร์ที่พวกเราเขียนกันเอง เออกันเอง
อวยกันเอง หรือ

ในทางตรงกันข้าม ก็เข้าไปอคติแห่งความลุ่มหลงใน "อารยธรรม"
ประเทศเพื่อนบ้านในฐานะที่เป็นวัตถุแห่งความประหลาด อัศจรรย์ จรรโลงใจ
อันเป็นทัศนคติของเหล่าเจ้าอาณานิคมอยู่นั่นเอง (เช่น ชมชอบความซื่อใส
บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของวัฒนธรรมหลวงพระบาง)

พ้นไปจากความเคารพในกันและกันบนฐานของความรู้แล้ว
ยังจะนำไปสู่การพัฒนาร่วมกันของภูมิภาคในฐานะที่เป็นหน่วยทางสังคม
การเมือง เศรษฐกิจแห่งหนึ่งของโลก ลองนึกภาพ คนไทยพูดได้ ภาษาไทย พม่า
ลาว มาเลย์ หรือ เวียดนาม คล่องแคล่ว แล้วค้าขาย เดินทาง
พัฒนาการท่องเที่ยว ฯลฯ ด้วยกันกับเหล่าประเทศเพื่อนบ้าน
หรือนักเขียนในภูมิภาคนี้ จัดสัมมนา อ่าน พิมพ์ ขายหนังสือ
ข้ามพรมแดนกันไปมาอย่างสามัญ โอ้ววว มันต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ

(ฝันกลางวันได้แล้ววว)



สํา หรับฉัน สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยตอนนี้คือ
ไม่ใช่การตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า การประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
ทำให้เราดูไร้ศักดิ์ศรี ดูเป็นประเทศอาณานิคม

เพราะตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ประเทศดูแย่กว่าการที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณานิคม
คือการเกิดรัฐประหารนับครั้งไม่ถ้วน
และอาการสะลึมสะลือโดนยาสั่งของคนไทยจำนวนมากที่ยังหลงเชื่อว่าประเทศของตน
มีอะไรบางอย่างที่ประเทศอื่นไม่มี

และนั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เรามั่นใจว่าประเทศของเราดีเลิศประเสริฐศรี
กว่าประเทศอื่น มีความสุขกว่าประเทศอื่น สามัคคีกว่า
มีรอยยิ้มมากกว่าประเทศอื่น โชคดีกว่าประเทศอื่น มีน้ำใจกว่าประเทศอื่น

(สังเกตจากการช่วยเหลือน้ำท่วม มีสโลแกนสำคัญว่า "คนไทยไม่ทิ้งกัน"
อันชวนให้คิดว่า คนอเมริกันที่ไปช่วยคนที่เจอพายุแคทรีน่า จะมีคำขวัญ
คนอเมริกันไม่ทอดทิ้งกันบ้างหรือเปล่า?
ยังไม่ต้องถกเถียงต่อในประเด็นที่ว่า
การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเราควรช่วยในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์
โดยไม่ต้องคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนชาติใด หรือภาษาใด นอกจากนี้
ยังไม่ได้พูดต่อไปในเรื่องที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดภัยธรรมชาติ
สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญมากไม่น้อยไปกว่าเรื่อง "ธารน้ำใจ"
คือประสิทธิภาพของรัฐในการเตือนภัย การอพยพผู้คน ก่อนจะเกิดภัยพิบัติ
หรือแม้กระทั่งสาเหตุของปัญหาภัยพิบัติที่ต้องการการแก้ไขในระยะยาว)

แต่สิ่งที่จำเป็นต่อสังคมไทยอย่างยิ่งในเวลานี้
คือการตื่นขึ้นมาแล้วตระหนักรับรู้ถึงความกระจอกงอกง่อยของตนเอง
รับรู้ถึงกำเนิดของประเทศอย่างที่มันเป็น ว่ามันไม่ได้กำเนิด เติบโต
มาด้วยน้ำมือของมหาบุรุษ หรือสตรีคนใดคนหนึ่ง

ไม่ได้ยิ่งใหญ่ โสภา แต่อุบัติขึ้นท่ามกลางการแตกหัก ความขัดแย้ง
เงื่อนไข ปัจจัยหลายประการ
ทั้งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การถือกำเนิดขึ้นของอีกหลายร้อยประเทศบน
โลกใบนี้ และมันอาจจะชัดเจนขึ้น หากเราได้เปรียบเทียบ "ชาติกำเนิด"
ของเราร่วมกับชาติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ย
และภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน

สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยตอนนี้ คือการตระนักว่า
ประเทศของตนเองยังด้อยพัฒนา ล้าหลัง ยากจน มีความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม

(คนมีตังค์ส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติเพื่อจะได้เก่งภาษาทำมาหากินคล่อง
แต่พอมาถึงคนธรรมดาสามัญ กลับบอกว่าอย่ารู้ภาษาอังกฤษมาก
เพราะเราไม่ใช่ประเทศอาณานิคม)
คนไทยไม่ได้มีความสามารถพิเศษมากกว่าคนชาติอื่น ไม่ได้ละเมียด
ซับซ้อนอะไรนักหนา ศิลปะ วัฒนธรรมไทยก็งั้นๆ
(แต่ไม่ได้แปลว่าพัฒนาให้ดีขึ้นไม่ได้)
-เมื่อไหร่จะยอมรับความจริงกันเสียที

วินาทีนี้หากจะถามฉันว่า อะไรคือสิ่งที่ authentic ที่สุดในวัฒนธรรมไทย
ก็คงบอกได้ว่า "ก็วัฒนธรรมการล่อลวงให้คนไทยลุ่มหลงตนเองอย่างหน้ามืดตามัวน่ะสิ
authentic แท้ไม่มีใครเกิน"

มติชนสุดสัปดา์ห์ ฉ. 1576

No comments:

Post a Comment