Tuesday, April 5, 2011

สุรชัยพินัยกรรม

http://www.tfn4.info/board/index.php?topic=22870


« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 06:55:09 PM »

เรียบเรียงโดย Nangfa





คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง สุรชัยพินัยกรรม
โดย กาหลิบ 

เหล็กก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร 
สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทาน
หรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร 
ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น 

นี่ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ 
หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชน
จนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้นเอง 
มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ 
แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง 
หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ 
ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้ 

นี่คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่ง
ที่เอาตัวเองเป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มา
ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย 

เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก 

ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน 

“ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี 
ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี) 
ระบบขับถ่ายไม่ปกติ

ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้

๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ 

๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ

ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.

เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ” 


ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ 
อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้ 
การ “ฝากเรื่อง” ในประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล 
ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง 
แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้
และมีความประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม 

คำประกาศจะไม่ให้ “เผาศพ” จนกว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ 
เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม 
คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการ
นำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่า
การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย “ตัด” ความยึดมั่นถือมั่น
ในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม 
ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง
ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น 

หากการหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด 
คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า 
ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น 
จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย 

ความแน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว 
จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓ 
เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง 
และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ 
และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา 

ใครกำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม 
ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเอง
จนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม 
หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง 
อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด 

พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน 
โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย 

พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียว
แต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย 
ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้ 

และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า 
การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.


http://democracy100percent.blogspot.com/2011/04/blog-post_05.html

No comments:

Post a Comment