« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 06:55:09 PM » |
เรียบเรียงโดย Nangfa
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สุรชัยพินัยกรรม
โดย กาหลิบ
เหล็กก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร
สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทาน
หรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร
ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ
หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชน
จนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้นเอง
มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ
แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง
หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ
ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้
นี่คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่ง
ที่เอาตัวเองเป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มา
ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย
เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก
ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน
“ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี
ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี)
ระบบขับถ่ายไม่ปกติ
ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้
๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ
๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ
ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ”
ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ
อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้
การ “ฝากเรื่อง” ในประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล
ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง
แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้
และมีความประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม
คำประกาศจะไม่ให้ “เผาศพ” จนกว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์
เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม
คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการ
นำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่า
การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย “ตัด” ความยึดมั่นถือมั่น
ในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม
ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง
ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น
หากการหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด
คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า
ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น
จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย
ความแน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว
จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓
เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง
และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ
และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา
ใครกำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม
ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเอง
จนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม
หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง
อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด
พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน
โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย
พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียว
แต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย
ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้
และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า
การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/04/blog-post_05.html
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สุรชัยพินัยกรรม
โดย กาหลิบ
เหล็กก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร
สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทาน
หรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร
ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ
หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชน
จนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้นเอง
มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ
แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง
หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ
ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้
นี่คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่ง
ที่เอาตัวเองเป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มา
ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย
เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก
ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน
“ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี
ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี)
ระบบขับถ่ายไม่ปกติ
ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้
๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ
๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ
ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ”
ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ
อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้
การ “ฝากเรื่อง” ในประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล
ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง
แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้
และมีความประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม
คำประกาศจะไม่ให้ “เผาศพ” จนกว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์
เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม
คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการ
นำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่า
การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย “ตัด” ความยึดมั่นถือมั่น
ในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม
ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง
ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น
หากการหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด
คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า
ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น
จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย
ความแน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว
จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓
เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง
และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ
และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา
ใครกำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม
ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเอง
จนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม
หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง
อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด
พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน
โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย
พินัยกรรมนี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียว
แต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย
ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้
และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า
การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/04/blog-post_05.html
No comments:
Post a Comment