http://thaienews.blogspot.com/2011/06/2_17.html
ณัฐวุฒิVSมาร์ค91ศพภาค2:ชายชุดดำๆๆไม่มีคำว่าเสียใจไร้คำขอโทษ คุณไม่ต้องรับผิดชอบเลยหรือ?
อภิสิทธิ์:ในบันทึกฉบับล่าสุดนี้นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงชายชุดดำ 4 ครั้ง กลุ่มติดอาวุธ 3 ครั้ง ว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิต 91 ศพ ไม่มีตอนใดที่กล่าวว่า เป็นฝีมือของทหารใต้คำสั่งการของเขา และเขาก็ไม่ได้สั่งฆ่า
ณัฐวุฒิ:คนเป็นนายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ คำว่าเสียใจคำว่าขอโทษก็ไม่ต้องมีให้ประชาชน และร่างไร้วิญญาณเหล่านี้เลยใช่ไหม
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
17 มิถุนายน 2554
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.และผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยได้เขียนลงในเฟซบุ๊คของเขา ตอบโต้ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เขียนในเฟซบุ๊คเรื่อง จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 4:91 ศพสังเวยความต้องการใคร (ภาค 2) ดังต่อไปนี้
1.การอ้างเหตุว่ามีการยิงเอ็ม79ตามที่ต่างๆทำให้ถูกกดดันให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเลื่อนลอยน่าใจหาย ในเมื่อรัฐบาลหาตัวคนทำความผิดไม่ได้ จะมีความชอบธรรมอะไรจัดการประชาชนผู้บริสุทธิ์
คุณอภิสิทธิ์พยายามบอกว่าตัวเองถูกกดดันจากประชาชนให้ใช้ความเด็ดขาดตลอดเวลา ผมไม่เข้าใจว่าระหว่างกดดันให้ยุบสภา เพราะคุณมาด้วยอำนาจพิเศษ กับกดดันให้สลายการชุมนุม ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนบาดเจ็บล้มตาย ทำไมเลือกใช้ความรุนแรงครับ
2.เรื่องรพ.จุฬาฯเป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าของเพื่อนเราบางคนเพราะเชื่อว่ามีกำลังทหารอยู่ในนั้น หลังเกิดเหตุเราแถลงยอมรับความผิดพลาดพร้อมทั้งขออภัยทางรพ.รวมทั้งเปิดพื้นที่ชุมนุมบางส่วน ทั้งที่ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะความชัดเจนเรื่องกำลังทหารยังไม่มี มีการย้ายผู้ป่วยบางส่วนออกจากรพ.ก่อนหน้านี้ เหลือบางรายที่ย้ายหลังการเข้าไปตรวจสอบโดยผู้ชุมนุม แม้เป็นเรื่องไม่ควรเกิด แต่ก็ไม่ควรเป็นข้ออ้างของการสังหารหมู่ประชาชนครับ
3.ข้อเสนอวันเลือกตั้งได้รับการตอบรับตั้งแต่ต้น แต่ประเด็นที่เรายังยอมรับไม่ได้คือไม่มีการพูดถึงความรับผิดชอบต่อความตายของประชาชน ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรมพ.ต.ท.ทักษิณมาเกียวข้องในการตัดสินใจเลย เพราะแกนนำได้ประกาศมติหลังเหตุการณ์ 10 เม.ย.แล้วว่าไม่ยอมรับการนิรโทษกรรม ตัวเองถูกแจ้งข้อหาก่อการร้ายเรายังปฏิเสธนิรโทษกรรมแล้วเรายังจะไปคิดเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างไร
4.ข้อเรียกร้องคือให้นายสุเทพเข้ามอบตัวในคดีสั่งสลายการชุมนุมจนมีคนตายเกือบ30ชีวิตหลัง10เมษาฯ ไปปรากฏตัวที่dsiไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญา จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครในรัฐบาลถูกดำเนินคดีหรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ สิ่งที่รัฐบาลทำคือสรุปว่า คนเสื้อแดงไม่ยอมรับการเจรจาแล้วก็สั่งกำลังทหารเข้ามา จนยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น91ศพ
5.คุณอภิสิทธิ์บอกว่าพยายามเจรจาแล้วทำไมจึงปฏิเสธกลุ่มสว.ที่มาพบพวกผมหลังเวทีในวันที่18พ.ค.ทั้งที่พล.อ.เลิศรัตน์และคณะยืนยันว่าคุณรับรู้ทุกขั้นตอน เราแถลงข่าวร่วมกันว่า วันที่ 19 เป็นวันเจรจา ผมบอกคณะสว.ด้วยว่า เราพร้อมยุติการชุมนุมทันที คุณอภิสิทธิ์ก็ทราบเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเปลี่ยนวันเจรจาเป็นวันสังหารเพราะเตรียมการมาตลอดใช่ไหม บอกสว.ให้มาคุยกับเราจนทุกฝ่ายสบายใจ แล้วค่อยลงมือวิธีการนี้ไม่อำมหิตกับประชาชนไปหน่อยหรือ
6.การบอกว่าความตาย14-18พ.ค.เพราะการปะทะระหว่างกองกำลังชุดดำกับเจ้าหน้าที่ ก็ต้องอธิบายว่าทำไมคนที่ตายไม่มีอาวุธในมือแม้แต่คนเดียว พลุไฟตะไลของเล่นที่บางคนถือเรียกว่าอาวุธไหม ศพไหนที่เป็นผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ยิงโดนใครบ้างหรือไม่มีเลย และถามจริงๆว่า คนเป็นนายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ คำว่าเสียใจคำว่าขอโทษก็ไม่ต้องมีให้ประชาชน และร่างไร้วิญญาณเหล่านี้เลยใช่ไหม
7.คุณอภิสิทธิ์บอกว่าเป็นผู้รักษากฎหมายแล้วกฎหมายข้อไหนอนุญาตให้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน มาตราใดให้อำนาจประกาศเขตกระสุนจริง หลักสากลที่ไหนให้เอาสไนเปอร์มาใช้กับการชุมนุม กระสุน2พันกว่านัดที่ใช้ไปทำไมใกล้เคียงกับยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากต้องรับผิดชอบกับ91ศพที่กรุงเทพฯแล้วยังต้องรวมถึงทุกชีวิตในกลุ่มอาหรับที่ตายเพราะสไนเปอร์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วย คุณคือผู้นำคนแรกของโลกที่ใช้วิธีนี้กับประชาชน
8.ประหลาดใจมากกับเรื่องคนทำบั้งไฟที่ถูกไอ้โม่งชุดดำยิงตายแล้วเผาหน้าวัดปทุมฯคุณเก็บเรื่องนี้ไว้กว่า1ปีได้อย่างไร ไม่มีใครเคยได้ยินทั้งอภิปรายในสภาหรือที่อื่น เรื่องใหญ่มากนะครับ คนถูกยิงเป็นใครพยานชื่ออะไรขอดูหน้าหน่อยได้ไหม เชื่อจริงๆหรือว่ามีการเผากันหน้าวัดปทุมฯโดยไม่มีใครรู้เห็น เผาศพใช้เวลานานมากเถ้าถ่านก็ต้องมี ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้เลยสงสารประชาชนบ้างเถอะครับ
9.6ศพในวัดปทุมฯผมฟันธงได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐยิง อย่าถามว่ามีเหตุผลอะไรจะยิงทั้งที่การชุมนุมยุติแล้วเพราะถึงยังไม่ยุติก็ไม่มีเหตุผลใดๆให้ยิงประชาชนมือเปล่า จะอ้างกองกำลังที่ไหนในเมื่อคนบนรางรถไฟฟ้าก็ยอมรับว่ายิงลงมาหัวกระสุนสีเขียวก็อยู่เต็มตัวคนตาย คุณรักครอบครัวมากทุกคนรู้พี่น้องผมถึงจะจนตำ่ต้อยแต่ความเป็นคนก็เท่าคุณพวกเขาอยากรู้ว่าคนที่เขารักตายยังไงต่างกับคุณที่คิดเพียงว่าจะอยู่อย่างไร ต่างกันมากเหลือเกิน
10.หลายตอนในบทความเน้นย้ำแต่เรื่องผู้สนับสนุนเรื่องคะแนนเสียง นักการเมืองที่แสดงตัวว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่คิดได้แค่นี้หรือ การยกข้อความสนับสนุนมาบอกว่าเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจ คิดไหมว่าคนที่สูญเสียจะรู้สึกอย่างไร พรำ่พูดแต่ตึกถูกเผา ส่วนคนที่ตายไม่สนใจ ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ยืนยันว่าเราไม่ได้ทำ ไม่ได้วางแผนสั่งการให้ใครเผาห้างให้ช่อง11เชิญฝ่ายผจญเพลิงของเซ็นทรัลเวิลด์ไปพูดความจริงบ้างไหม กล้าหรือเปล่า
11.อย่าอ้างบุญคุณกับบางคนที่ได้ประกันตัวออกมาเพราะพวกเขาไม่ได้ทำความผิดไม่ควรถูกขังตั้งแต่ต้น ให้คนโทรไปตามมาพบที่ทำเนียบสั่งให้เขียนจดหมายมาขอบคุณตัวเอง นี่หรือทำเพื่อประชาชน หลายคนชีวิตยับเยิน แม่ตายไม่ได้ดูใจ ลูกเมียถูกไล่จากบ้านเช่า ลูกสาวถูกข่มขืน ป่วยต้องหามส่งรพ.จากเรือนจำ ถ้าคนเหล่านี้ได้ออกจากคุกต้องเขียนจดหมายขอบคุณท่านนายกฯไหมครับ แล้วคนที่ถูกขังเพราะโดนขู่ให้สารภาพ ติดคุกเกือบปีแล้วศาลยกฟ้องต้องขอบคุณไหม
12.คุณอภิสิทธิ์บอกว่าเปื้อนโคลนจากทุกสีสถานการณ์แบบนี้ใครไม่เปื้อนโคลนก็แปลกแล้ว ปัญหาคือคุณไม่ได้เปื้อนโคลนแต่เปื้อนเลือดประชาชนเป็นนายกฯที่มีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศ ไม่มีใครมองข้ามความตายของเพื่อนร่วมชาติได้ง่ายอย่างที่คุณทำหรอก พวกเขาจึงอยากรู้ว่าเกือบร้อยชีวิตตายยังไง ถ้าไม่พบความจริงคำถามนี้จะติดตามคุณไปชั่วชีวิต เป็นลมหายใจแห่งความตายที่ยังรอความยุติธรรมตลอดไป
13.ผมรู้ว่าคุณเขียนบทความนี้เพราะต้องการคะแนนเสียงแต่ผมเพียงต้องการพูดความจริง ไม่มีผู้รักษากฎหมายที่ไหนจะนิ่งดูเขาฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศแล้วไปรับผลประโยชน์จากอำนาจนั้น ไม่มีผู้ปกครองคนใดจะรักษากฎหมายด้วยการทำลายชีวิตประชาชนแต่คุณก็ทำ
ผมเลือกข้างประชาชน ประชนจงเจริญ
ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เขียนบันทึก จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 4ลงในเฟซบุ๊คของเขาเผยแพร่เมื่อเวลา 19.07 น.วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
91 ศพสังเวยความต้องการใคร (ภาค 2)
หลังจากสังคมได้รับรู้เรื่องเหตุการณ์ 10 เมษา และปรากฏการณ์ชายชุดดำ ปัญหาการชุมนุมก็ยังไม่ยุติ
ตรงกันข้ามมีการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการยิง M79 ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS ที่ศาลาแดง การสูญเสียของเจ้าหน้าที่ที่ถนนพระราม 4 เป็นปรากฏการณ์ที่ตรงกันข้ามกับปี 2551
วันนั้นมีแต่ M79 ยิงใส่ผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตร
แต่ปี ’53 M79 ออกมาจากพื้นที่ชุมนุมยิงใส่ชาวสีลม ข่มขู่ประชาชนทั่วไป
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่หลายคนไม่อยากจำ แต่ลืมไม่ลง คือ การบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ จนต้องมีการย้ายคนไข้ ไม่เว้นแม้แต่สมเด็จพระสังฆราช
ทุกท่านคงนึกออกว่า แรงกดดันที่มาที่ ศอฉ. ให้ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมจะรุนแรงแค่ไหน ผมแบกรับอย่างต่อเนื่อง แต่อดทนเพื่อหาแนวทางสันติ
จนต้นเดือนพฤษภาคม ผมจึงเสนอแผนปรองดองที่พูดถึงการแก้ปัญหาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องของผู้ชุมนุมในทุกเรื่อง
โดยเฉพาะหากยกเลิกการชุมนุมก็จะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน ผมถูกก่นด่าว่าอย่างรุนแรงจากคนที่สนับสนุนผม
แต่ผมต้องการเห็นบ้านเมืองสงบทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ข้อเสนอทั้งหมดไม่ได้คะแนนจากชาวเสื้อแดง แต่เสียคะแนนจากฝ่ายสนับสนุนผม
ข้อเสนอผมเป็นเหตุเป็นผลขนาดที่แกนนำบนเวทีต้องตอบรับแต่ขอเวลาที่จะตัดสินใจในการสลายการชุมนุม
ระหว่างนั้นผมก็ให้คุณกอร์ปศักดิ์ประสานงานตลอด แต่เจรจาอย่างไรก็ไม่เป็นผล ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มขอคืนพื้นที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาฯ ฯลฯ
สิ่งที่ผมสังหรณ์ใจไม่ผิดก็คือ แผนปรองดองทั้งหมดมีจุดอ่อนจุดเดียว คือ ไม่มีการนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณ
แม้แกนนำหลายคนก็เริ่มอยากจะให้แผนนี้เป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย การเจรจาคืบหน้าไปจนถึงจุดที่ว่าจะช่วยกันดูแลให้พี่น้องคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมกลับบ้านได้อย่างไร เช่น ประสานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แต่สุดท้าย การเจรจาก็ล้มเหลว เพราะไม่ได้รับไฟเขียวจากนายใหญ่ ฝ่ายเจรจาของผู้ชุมนุม ที่แปลกใจหรือผิดหวังตั้งแต่ 10 เม.ย.ว่ามีคนตายแล้วแต่รัฐบาลยังอยู่ได้ มองว่า หากไม่มีการนิรโทษกรรม คุณทักษิณก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงไม่ต้องการให้คลี่คลาย เพราะไม่ได้รับชัยชนะ แม้แต่ก่อนสลาย เราพยายามจะเจรจาให้ส่งผู้ชุมนุมกลับบ้านก่อนมอบตัว แต่ถูกปฏิเสธ
ในที่สุด เวลาผ่านไป 10 วันก็ชัดเจนว่า จะไม่มีการเลิกการชุมนุม
ศอฉ. จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรักษากฎหมายโดยการ “กระชับพื้นที่”
ไม่ได้เข้าไปสลายการชุมนุม แต่ตั้งด่านปิดล้อมเพื่อให้คนออกจากพื้นที่ชุมนุม ไม่ให้คนเข้า เพียงแต่ต้องใช้อาวุธจริงเพื่อป้องกันตนเองและป้องกัน M79
ความสูญเสียระหว่างวันที่ 14-18 พ.ค. ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่มีใครสั่งฆ่าประชาชน แต่มีกลุ่มคนติดอาวุธโจมตีด่าน ทำให้เกิดการปะทะกัน โดย ศอฉ.ได้เตือนประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มอาสาสมัคร และสื่อมวลชนให้ระวังตัวว่าจะเป็นเป้าของการยั่วยุให้ปะทะ และชายชุดดำซึ่งอยู่ที่ตึกชีวาทัย (ถ.ราชปรารภ) และบริเวณใต้ทางด่วน ถ.พระราม 4
หลายคนเคยเห็นภาพที่ทำได้กระทั่งเอาเด็กมาเป็นโล่มนุษย์
จนในที่สุด ศอฉ. จำเป็นต้องตัดสินใจเข้ายึดพื้นที่บริเวณสวนลุมฯ ซึ่งเป็นที่ซ่องสุมของอาวุธและชายชุดดำในเช้าวันที่ 19 พ.ค. แต่ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ชุมนุม จนแกนนำยอมสลายเอง ซึ่งหากไม่ทำเช่นนั้น ความสูญเสียก็จะมีต่อไปไม่รู้จบ
แต่แล้วปัญหาก็ไม่ได้จบไปกับการสลายการชุมนุมและการมอบตัวของแกนนำ ซึ่งก็เป็นไปตามคำประกาศครั้งสุดท้ายของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่พูดบนเวทีก่อนสลายการชุมนุมว่า
“การชุมนุมยุติลงแล้ว แต่การต่อสู้ของเรายังไม่จบ”
จากนั้นไม่ถึงชั่วโมง กรุงเทพฯ ก็กลายเป็นทะเลเพลิงเหมือนกับที่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เคยปลุกระดมเอาไว้
เป็นสถานการณ์ที่พี่น้องจำนวนมากที่ติดตามจากการถ่ายทอดสดของทีวีแทบทุกช่อง อาจถึงขั้นหลั่งน้ำตาที่ต้องมาเห็นภาพคนไทยฆ่ากันเอง และยังต้องสลดหดหู่กับภาพคนไทยเผาเมืองหลวงของเรา เพราะถูกปลุกปั่นยุยงด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จอีกด้วย
เหตุการณ์ที่สะเทือนใจคนไทยอย่างมากก็คือ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นที่วัดปทุมฯ
ที่จริงเมื่อมีข้อเสนอให้ประกาศเป็นเขตอภัยทาน ผมให้คุณกอร์ปศักดิ์ประสานไปว่า ไม่อยากให้ทำ เพราะควรอำนวยความสะดวกให้คนกลับบ้านมากกว่า
ที่สำคัญ ผมบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้มีแต่ผู้หญิง เด็ก คนแก่เข้าไปในพื้นที่ ผมรู้ว่าต้องมีคนติดอาวุธเข้าไปด้วย ซึ่งต่อมาก็มีการพบอาวุธที่ถูกนำไปซ่อนในที่นั้น ผมเคยถามด้วยซ้ำว่า หากมีการยิงกัน ปะทะกันจนเกิดความสูญเสีย ใครจะรับผิดชอบ
แม้ในวันที่ 19 เอง ก็ยังมีคนจากอีสานที่รับจ้างทำบ้องไฟกับเพื่อน ๆ แต่สุดท้ายไม่ได้รับค่าจ้าง หลบหนีเข้าไปอยู่ในวัดปทุมฯ ซึ่งต่อมาได้พยายามหนีกับเพื่อน ๆ ออกจากประตูวัดด้านใกล้แยกอังรีดูนังต์ แต่เพื่อนที่วิ่งนำหน้าถูกกลุ่มชายชุดดำใส่หมวกไหมพรม 5-6 คน ยิงจนเสียชีวิตและลากศพไปเผาบริเวณที่บังเกอร์หน้าวัด เขาจึงวิ่งย้อนกลับไปหลบหนีออกด้านหลังวัด ในที่สุดชายคนนี้ได้ให้ปากคำที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ในฐานะพยานผู้เห็นเหตุการณ์การกระทำอันโหดร้ายของกลุ่มชายชุดดำ
หลังกระชับพื้นที่วันที่ 19 พ.ค. ศอฉ. จึงไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปบริเวณนั้น แต่ก็เจอกับปัญหาเผาเซ็นทรัลเวิลด์ สยามสแควร์ ไม่นับการเผาช่อง 3 และศาลากลางในหลายจังหวัด
ซึ่งทุกแห่งมีการใช้กลุ่มติดอาวุธยิงสกัดกั้นรถดับเพลิง จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปคุ้มครอง ผมเองยังได้รับการติดต่อจากนักข่าวต่างประเทศที่ถูกยิงบริเวณวัดให้เข้าไปช่วย ซึ่งรถพยาบาลกว่าจะเข้าไปได้ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองด้วยความยากลำบาก
ผมไม่สามารถฟันธงได้หรอกครับว่า 6 ศพที่วัดปทุมฯ เป็นฝีมือใคร แต่ผมถามว่า มีเหตุผลอะไรที่เจ้าหน้าที่จะจงใจไล่ยิงประชาชนเมื่อการชุมนุมสิ้นสุดแล้ว ผมเชื่อว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลของการปะทะหรือการฉวยโอกาสของกลุ่มติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ ซึ่งผมหวังว่าคณะกรรมการฯ และหน่วยงานจะให้ความจริงกับเราต่อไป
เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลง คนใกล้ชิดผมจำนวนไม่น้อยแนะนำให้ผมยุบสภา ลาออก หรือเว้นวรรคทางการเมือง เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาบอกผมว่า นับจากนี้ไปชีวิตผมไม่มีทางปลอดภัย แต่ถ้ายอมแพ้ให้คุณทักษิณได้ในสิ่งที่ต้องการทุกอย่างก็จะจบ
แต่ผมไม่คิดว่าจบหรอกครับ ผมว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นหายนะครั้งใหม่ของชาติมากกว่า และที่ผมตัดสินใจมุ่งมั่นแก้ปัญหาต่อไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชีวิตถูกคุกคามได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่เพราะยึดติดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เพราะผมตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองว่าต้องใช้อำนาจที่มีต่อสู้เพื่อรักษาบ้านเมืองของเรา
ในช่วงเวลานั้น ผมได้รับกำลังใจจากประชาชนจำนวนมากที่ส่งข้อความมายังโทรศัพท์มือถือของผม เป็นแรงใจให้ผมมีความเข้มแข็งยืนหยัดต่อสู้เพื่อนำบ้านเมืองของเรากลับสู่ความสงบให้ได้
แม้จะอยู่ในอารมณ์เศร้าสะเทือนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขี้น แต่ผมก็รู้ดีว่ามีหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นนักการเมืองที่อาสาตัวมารับใช้พี่น้องประชาชน ผมท้อไม่ได้ และผมไม่มีสิทธิ์ถอยเพราะถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่า ผมทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนที่ให้โอกาสผมได้เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยมายาวนานเกือบ 20 ปี
“อย่าใจเสีย อย่ายุบสภา อย่าลาออก ท่านนายกฯทำดีที่สุดแล้ว”
“หลังควันไฟจบบ้านเมืองก็สงบด้วย สิ่งปลูกสร้างเราซ่อมแซมใหม่ได้ หน้าที่ต่อไปคือนำประเทศผ่านวิกฤติครั้งนี้ให้ได้ ท่านนายกฯ ยังมีหน้าที่สู้ต่อเพื่อบ้านเมืองของเรา เชื่อมั่นว่าท่านทำได้”
และข้อความอีกมากมายที่ส่งมาให้กำลังใจ เป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่อ่อนล้าของผมให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง มันสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผมซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศกับประชาชนภายใต้การดูแลของผม
ช่วงที่เปลวเพลิงยังลุกโชติช่วงที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผู้บริหารของเซ็นทรัลเวิลด์ท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม แต่ในขณะนั้นผมกำลังอยู่ในที่ประชุมเพื่อร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคลี่คลายสถานการณ์ดับไฟกลางเมืองให้ได้เพราะมีปฏิบัติการของคนชุดดำลอบยิงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดับเพลิงจนทำให้การดับเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งเมื่อสามารถดับไฟได้แล้วก็ยังมีความพยายามเผาใหม่หลายรอบ ทำให้เซ็นทรัลเวิลด์เกือบมอดเป็นเถ้าถ่าน แต่ในที่สุดเราคนไทยก็ผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกันจนได้
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ผมโทรศัพท์กลับไปยังผู้บริหารเซ็นทรัลเวิลด์ ยอมรับเลยครับว่า ระหว่างกดหมายเลขโทรศัพท์ผมนึกประหวั่นในใจเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าจะพบกับปฏิกิริยาเช่นไรจากบุคคลที่ถือเป็นผู้สูญเสีย แต่ผมหนีความรับผิดชอบไม่ได้ ไม่ว่าจะถูกต่อว่าแค่ไหน ผมรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ต้องน้อมรับ เพราะแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ให้ความสูญเสียทั้งร่างกายและทรัพย์สินเกิดขึ้นน้อยที่สุด แต่ก็รู้ดีว่า การจลาจลครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อทั้งภาพลักษณ์ของประเทศและเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างรุนแรง
ผมต้องขอขอบคุณผู้บริหารเซ็นทรัลเวิลด์ท่านนั้น ปลายสายที่พูดกับผมคำแรกแตกต่างไปจากที่ผมคิดไว้มากนั
“ก่อนอื่นต้องบอกว่า นายกรัฐมนตรีตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ที่โทรมาเพียงแค่ต้องการแจ้งถึงสภาพโครงสร้างอาคาร...”
เราพูดคุยกันถึงการดูแลอาคารไม่ให้ทรุดตัวลงจากเปลวเพลิงครั้งนี้ ขณะเดียวกันผมก็คิดล่วงหน้าไปถึงการเยียวยาทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเผาบ้านเผาเมืองดังกล่าว ควบคู่ไปกับการจัดการตามกฎหมายกับคนที่ทำชาติย่อยยับ มิใช่เพราะโกรธแค้นแต่ผมยืนยันเสมอว่า บ้านเมืองต้องปกครองโดยหลักนิติรัฐ ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตัดสินความถูกผิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับสถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่ขยายวงกว้างมากขึ้นทุกที
หน้าที่สมานบาดแผลแผ่นดินยังเป็นสิ่งที่ผมมุ่งมั่นเดินหน้าต่อ แม้จะรู้ว่าการอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองสี คือ ทั้งสีเหลืองและสีแดง จะทำให้ผมไม่ได้รับคะแนนนิยมจากสองฝ่ายนี้เลย แต่ผมเห็นว่าการสลายสีให้ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคนไม่ใช่ตกเป็นเบี้ยล่างมวลชนสีใดสีหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ลุล่วง
เมื่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งคณะกรรมการของ อ.คณิต นำเสนอข้อมูลกับผมว่า มีคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ไม่ได้รับการดูแลตามสิทธิทางกฎหมาย ผมก็ให้กระทรวงยุติธรรมเข้าไปช่วยเหลือดูแลในเรื่องการประกันตัวตามสิทธิที่เขาพึงมี เพราะเป็นหน้าที่รัฐบาลในการดูแลประชาชนทุกคนไม่ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่าสีอะไรก็ตาม ส่วนการจะให้ประกันตัวหรือไม่นับเป็นดุลพินิจของศาล
นอกจากนั้น ครม.ยังมีมติเพื่อตอกย้ำว่า รัฐบาลพร้อมให้ความเป็นธรรมในการดูแลสิทธิของพี่น้องเสื้อแดงที่ไม่มีทนายความคอยดูแลเหมือนบรรดาแกนนำ
ผู้รู้ครับว่า ทำอย่างนี้คนเสื้อแดงก็ไม่ได้เกลียดผมน้อยลง บางคนออกจากคุกได้เพราะกระทรวงยุติธรรมเข้าไปช่วยดำเนินการให้ก็ยังด่าผมอยู่ดี
ขณะที่คนบางกลุ่มก็ประณามการกระทำของผมว่า เป็นการเกี๊ยะเซี๊ยะกับคนเสื้อแดง ปล่อยคนเผาเมืองออกจากคุก ทั้ง ๆ ที่อำนาจในการประกันตัวนั้นเป็นดุลพินิจของศาลโดยแท้ และดีเอสไอซึ่งเป็นผู้ดูแลคดีก็ยังมีการคัดค้านการประกันตัวแกนนำบางคนที่เห็นว่า หากออกจากกรงขังไปอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของบ้านเมือง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นใด ๆ ทั้งสิ้น
ผมถามง่าย ๆ ครับว่า ถ้าผมต้องการเอาใจฐานเสียงของตัวเองที่ต้องการเห็นความเด็ดขาดในการแก้ปัญหากับคนเสื้อแดง ผมก็เพียงอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องเข้าไปดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ถูกแกนนำทอดทิ้งให้ติดคุกโดยไม่มีใครเหลียวแล ต้องรับชะตากรรมกินข้าวแดงต่อไปก็ได้ และผมก็ไม่ต้องโดนประณามว่ากลัวคนเสื้อแดง แต่จะได้ใจคนกลุ่มอื่นแทน
แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะผมได้ยืนยันมาตั้งแต่ต้นหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ผมจะเป็นนายกฯ ของคนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะสนับสนุนผมหรือไม่สนับสนุนผมก็ตาม
การอยู่ท่ามกลางระหว่างสี ทำให้ผมเปรอะเปื้อนไปด้วยการสาดสีใส่โคลน แต่ผมก็รับสภาพด้วยความอดทนอดกลั้น เพราะรู้ดีว่าการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างการเมืองสุดโต่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมยังไม่ละความพยายามที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศให้จงได้ ไม่ใช่ความปรองดองในหมู่นักการเมืองด้วยกัน แต่ต้องปรองดองบนความถูกต้อง ไม่ให้หลักการของประเทศเสียหาย
วันนี้หลังเหตุการณ์ผ่านไปหนึ่งปี ยังคงมีกระบวนการที่ตั้งธงว่า ผมเป็นฆาตกร
ลองเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่ตากใบ กรือเซะ และการฆ่าตัดตอน 2,000 กว่าศพ ดูสิครับ
แล้วท่านจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างการสั่งฆ่าประชาชนกับการรักษากฎหมาย
*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง
-สูตรสำเร็จชายชุดดำแป้กมาร์คเหวอเจอชาวบ้านดวลเดือด เหยื่อคุกแฉโดนกับตัวที่แท้ทะเหี้ย..มคือMIB
-ปริศนาไขกระจ่างชายชุดดำคือใคร? ฮิวแมนไรต์ว็อท์ชแฉทหารฆ่าเสื้อแดงลอยนวลเหนือกฎหมาย
แบรด อดัมส์ แห่งฮิวแมนไรท์วอทช์ล่าวว่า "แกนนำ นปช. ถูกตั้งข้อหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรงไปแล้ว แต่ถึงแม้รัฐบาลจะให้สัญญาว่าจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงด้วย จนถึงขณะนี้ยังไม่มีทหาร หรือตำรวจซักนายที่ถูกดำเนินคดี"..เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลอยู่เหนือกฎหมาย "สภาพเช่นนี้เน้นให้เกิดความเข้าใจในหมู่ประชาชนไทยว่า ตาชั่งของกระบวนการยุติธรรมนั้นไม่เป็นกลาง"
"เห็นชัดๆ ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลยิงผู้ชุมนุมประท้วง ส่วนกองกำลังติดอาวุธก็ยิงทหาร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครที่ต้องรับผิด" "คนที่ถูกสังหาร และได้รับบาดเจ็บสมควรจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ รัฐบาลควรจะรับรองว่าผู้ที่ใช้ความรุนแรง และละเมิดสิทธิมนุษยชนจากทั้งสองฝ่ายต้องถูกสอบสวน และดำเนินคดีลงโทษ"
(จากรายงานฮิวแมนไรท์วอทช์เรื่อง:ความล้มเหลวในการเอาผิดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลตอกย้ำปัญหาการปล่อยให้คนผิดลอยนวล )
-นักข่าวสนามเนชั่น:คำขอโทษ จากนายกฯอภิสิทธิ์
92 ศพ
2,000 ผู้บาดเจ็บ
162 คดีภายใต้การควบคุมของดีเอสไอ
31 ผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงศีรษะ
0 คำขอโทษจากนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
-365วันคนเจ็บยังถูกใส่ร้าย คนตายยังถูกกล่าวหา ...คน "สั่ง" ยังลอยหน้า คน "ฆ่า" ยังลอยนวล !!
-เช็กบัญชีมือฆ่าหมู่10เมษา-19พฤษภา ใครเป็นมือสไนเปอร์ ใครเหี้ย..มสังหารหมู่วัดปทุม ใครเผาCTW?
-เฟซบุ๊คร้อนฉ่าณัฐวุฒิดวลเดือดมาร์ค91ศพ
กิจกรรมรำลึก 13 เดือนวีรชนราชประสงค์ 9 โมงเช้า นปช.ทำบุญพระ999รูปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนกลุ่มราษฎรใหม่ จัดรำลึกที่ป้ายราชปะสงค์ 17.00-22.00 น.
No comments:
Post a Comment