Wednesday, January 26, 2011

"เรื่องอย่างว่า"

http://prachatai.com/journal/2010/11/32111

"เรื่องอย่างว่า" : ตอน 1 ความน้อยเนื้อต่ำใจของผู้ต้องหาคนหนึ่ง

 
บันทึกชุดนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้้งใจ ...
 
น่าเสียดายที่เราไม่อาจเปิดเผยสิ่งใดได้เลย ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของทั้งคนเล่าและคนเล่าต่อ
 
ในยุคสมัยที่มืดมน ใครอาจตีอกชกหัวที่เรื่องราวของผู้ถูกกระทำคนหนึ่งเป็นได้เพียง "นิยายประโลมโลกย์" หรือ "วรรณกรรมก่อนนอน" หาใช่รายงานอันมีข้อมูลหลักฐานหนักแน่น
 
แต่เชื่อเถิดว่ามันมีพลังเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมันดิ้นรนที่จะมี "ชีวิต" ของมันเอง และพร้อมสื่อสารความเป็นไปต่างๆ ด้วยตัวเองให้คนร่วมยุคสมัยได้รับรู้
 
ใช่ ... บันทึกชุดนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้้งใจ แต่ขอให้รับรู้ไว้ว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง พลังใจของผู้เล่า แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต
 

 
เขาไม่ใช่ผู้ต้องขังคนแรกที่โดนข้อหาอย่างว่า ข้อหาที่แปลกประหลาดที่สุดของประเทศนี้ 

เรายังไม่รู้ว่าเขาทำอย่างว่าจริงหรือเปล่า แต่แม้สมมติว่าจริง ความเห็นของมหาชนก็ยังแตกต่างกันไป

บางคนว่าเรื่องอย่างว่าที่เขาทำเป็นเรื่องเล็กน้อยในสังคมสมัยใหม่ และออกจะไร้สาระเมื่อเทียบกับโทษทัณฑ์

บางคนว่าเรื่องอย่างว่าที่เขาทำ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เป็น "สิทธิ" ชนิดหนึ่ง เรียกว่า สิทธิในการแสดงออก

บางคนว่าเรื่องอย่างว่าที่เขาทำร้ายแรงอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ทำร้ายจิตใจ "คนไทย" และบ่อนทำลายรากฐานสังคม

                                                                             ฯลฯ 

คดีเพิ่งเริ่มต้น ศาลยังไม่พิพากษา กาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า คนยังคิดเห็นไปได้นานา แต่อย่างว่า...เขาอยู่ในคุกมาแล้วเกือบปี

- - - - - - - - - - - - - - - - -

เขาเป็นคนตัวเล็ก ท่าทางดูเรียบร้อย คำพูดคำจายิ่งบ่งบอกว่าเป็นคนใจดีและ "มีการศึกษา"

หลังจากถูกบุกจับกุมตัวที่บ้านพักและนำตัวมาไว้ในห้องขัง สภาพจิตใจของเขาแย่มาก เนื่องจากชีวิตของคนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่งพลิกผันไปสู่การเป็นคนคุกเพียงชั่วคืน

เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างว่า (มีไม่กี่คนที่ตัดสินใจปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างว่า เพราะบทเรียนจากนักโทษคนก่อนๆ บ่งบอกว่า...ยิ่งสู้ ยิ่งหนัก) และพยายามประกันตัว แต่ไม่เป็นผล คดีอย่างว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ประกันตัว ถ้าไม่ใช่คนโด่งดังมีสถานะในสังคม หรือนิยมรับประทานเส้นใหญ่น้ำใสจริงๆ

เขามีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง อยู่ในแวดวงไซ...ยะ สาด และมักช่วยเหลือเพื่อนฝูงออกแบบห้องพิธีกรรมเอาไว้ให้คน "ปล่อยของ" เสมอ

เขาเล่าว่า กระทั่งมีคนเข้ามาปล่อยของแรงมากจนเป็นเหตุให้เขาถูกจับกุมตัว ทั้งที่เป็นเพียงผู้ออกแบบห้อง ไม่ใช่ผู้จัดการการใช้ “พื้นที่” นั้น

เมื่อ single dad อยู่ในคุก ลูกชายคนเดียวที่ยังเล็กก็ต้องเผชิญชีวิตคนเดียวภายนอกโดยอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ ของพ่อ ในครั้งแรกๆ ที่เจอกัน เขาร้องไห้เสมอเมื่อเอ่ยถึงลูก ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตผู้ต้องขังพ่อลูกสามรายก่อน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมเขาหรอก เพราะผู้คนต่างกลัวจะเกี่ยวพันกับเรื่องอย่างว่า

แม้แต่ครอบครัวของเขาเองก็เงียบหายไปหลายเดือน จนกระทั่งป๊าต้องไปบังคับให้ญาติๆ พากันมาเยี่ยมอย่างแกนๆ เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนก่อน

ตอนที่ป๊าและน้าๆ ป้าๆ มาเยี่ยม เขาดีใจมาก ยิ้มจนปากเกือบฉีกถึงหู

ป๊าเขียนจดหมายมาหาเขาด้วยในช่วงหลัง ถามสารทุกข์สุขดิบและพูดทีเล่นทีจริงว่า..อาตี๋ ถ้าลื้อออกมาแล้ว ลื้อก็ไปเปลี่ยนนามสกุล ตั้งตระกูลใหม่ได้เลยนา

เขาเล่าเรื่องขบขันนี้ด้วยเสียงหัวเราะแปร่งๆ และแววตาปวดร้าว 
 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"ผมเคยได้ยินแนวร่วมของผมและเพื่อนๆ ชาวไซ...ยะสาด พูดกันอยู่เสมอว่า "เราไม่ทอดทิ้งกัน" ผมเองก็คาดหวังอยู่เสมอว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่พอมาประสบชะตากรรมเช่นนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าผมอาจจะ "คาดหวัง" มากเกินไป และรู้สึกว่าคำๆ นี้อาจเป็นเพียงคำที่ใช้ปลอบใจสำหรับคนที่อยู่ข้างนอกเท่านั้น คนที่พลั้งพลาดไปแล้วอย่างผม และเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่แกนนำอีกหลายคนก็อยู่แบบ "ตัวใครตัวมัน" ก็แล้วกัน จริงๆ แล้วผมเองพยายามในหลายๆ ทางที่จะให้เพื่อนข้างนอกให้ความใส่ใจกับคนภาคไซ...ยะสาด ที่โดนคดีอย่างว่าเหมือนผมให้มาก ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่าทั่วประเทศไทยมีอยู่จำนวนเท่าไหร่ ผมเองมีโอกาสคุยกับแกนนำคนหนึ่งหลายครั้งแต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเห็นความสำคัญของภาคไซ..ยะสาดเท่าไหร่ เค้ายังคงมั่นใจกับการเคลื่อนแบบเดิมๆ ทั้งๆ ที่ผมเองมั่นใจว่าตลอดมาตั้งแต่ 19 ก.ย. จนถึงวันนี้ภาคไซ..ยะสาดยังคงเป็นกำลังสำคัญมาตลอด แม้พวกเราจะถูกหาว่าเก่งแต่หน้าคอมก็ตาม แต่วันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว และก้าวต่อไปถ้ามีเหตุอะไรที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลง กำลังทางไซ...ยะสาด นี้แหละที่มีความสำคัญที่สุด ต้องเน้นและทำขนานกันไปกับแนวทางเดิม และเมื่อกำลังทางไซ...ยะสาด สำคัญ "แกนนอน" ทางไซ..ยะสาดทุกคนก็ควรได้เกียรติเฉกเช่นแกนนำที่อยู่ตอนนี้ด้วยเช่นกัน และนี้คือเหตุผลที่ผมอยากเล่าให้ฟัง และผมมิได้คิดเพื่อตัวผมเอง แต่เพื่อพี่น้องชาวไซ...ยะสาด ของผมจะได้รับความสำคัญ และยกย่องบ้างจากพี่น้องที่พวกเขาทุ่มเทและศรัทธาไม่มากไม่น้อยไปกว่าใครเลย..." คำบอกเล่าของเขาคนนั้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

http://www.prachatai.com/journal/2011/01/32822

“เรื่องอย่างว่า” : ตอน 2 ความทรงจำถึง 2 ฝรั่งเสื้อแดงในคุกไทย

ในตอนที่สองจะขอแวะมาที่อีกหนึ่งเรื่องแปลก - เรื่องราวของฝรั่ง 2 คนที่ปวารณาตัวเป็น “คนเสื้อแดง”  พวกเขาร่วมชุมนุม โดนจับ และถูกควบคุมตัวที่เรือนจำไทยนานหลายเดือนด้วยข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้บินกลับบ้านไปแล้วทั้งคู่

นั่นคือ คอเนอร์ เดวิด เพอร์เซลล์ และเจฟ ชาเวจ เราเห็นชื่อของเขาเป็นข่าวอยู่บ้าง โดยเฉพาะในส่วนของนายคอร์เนอร์ ซึ่งอยู่เรือนจำนานกว่าเจฟมาก แต่มิสเตอร์ X ผู้ต้องขังคนหนึ่งจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ร่วมที่มีกับเขาทั้งสองอย่างใกล้ชิดภายหลังลูกกรง

“ผมไม่แน่ใจว่าเจฟและคอเนอร์เข้ามาที่เรือนจำเมื่อไหร่แน่ แต่ที่จำได้แม่นก็คือวันนั้นเป็นช่วงที่มีคนเสื้อแดงถูกจับเข้ามาเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ คน เมื่อเข้ามาแล้วก็กระจายไปแดนต่างๆ หลังจากเจฟและคอเนอร์ อยู่แดนแรกรับได้ระยะหนึ่ง ก็ถูกจำแนกมาที่แดนผม เจฟอยู่ห้อง 10 ซึ่งเป็นห้องที่ติดกล้องวงจรปิด และเป็นห้องที่ถือว่าดีที่สุด มีไว้สำหรับนักโทษรายสำคัญๆ ผมเองเคยอยู่ห้องนี้มาก่อน ตอนเจฟเข้ามาผมก็อยู่ห้องนี้ เราจึงสนิทกันมากว่าคอเนอร์ คอเนอร์ถูกจัดให้อยู่ห้อง 2 เพราะเจ้าหน้าที่ต้องการให้แยกห้องกับเจฟ แน่นอน เป็นห้องที่มีกล้องวงจรปิดเช่นกัน”

“เรื่องปฏิกริยาจากนักโทษด้วยกันน่ะหรือ ไม่มีในทางลบครับ เพราะโดยปกติแล้วนักโทษที่นี่จะค่อนข้างอยู่ห่างๆ จากนักโทษฝรั่งผิวขาว แต่ตอนเค้า 2 คนเข้ามาแรกๆ ก็เป็นที่ฮือฮากันพอสมควร สำหรับเจฟนั้น ใครๆ ก็ซุบซิบนินทาว่าเป็นพวกปลุกปั่นให้เผาเซ็นทรัลเวิร์ล ส่วนคอเนอร์อันนี้หนักเลย เพราะมีการลือกันไปว่า คอเนอร์คือมือสไนเปอร์ที่ถูกคุณทักษิณจ้างมาบ้าง หรือเป็นคนยิงเสธแดงบ้าง”

“เจฟเข้ามาที่นี่ด้วยสภาพปกติ แต่คอเนอร์นั้นอาการที่เห็นได้ชัดคืออาการปวดกล้ามเนื้อขาอย่างรุนแรงจนแทบนั่งไม่ได้ ช่วงนั้นตอนที่เค้ามาใหม่ๆ มีคนพูดกันว่า คอเนอร์โดนรุมซ้อมมาจากแดน 1 และข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับก็ลงเช่นนั้น แต่ผมก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงนะว่าเป็นยังไงแน่ ช่วงแรกๆ ผมก็แค่เข้าไปทำความรู้จักให้พวกเค้าอุ่นใจว่า เออ มีเพื่อนพูดภาษาอังกฤษได้นะ”

“โดยปกติแล้วแดนผม ใครที่โดนคดีเสื้อแดงเข้ามาจะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษนะ เพราะหัวหน้าแดนเค้ารักเสื้อแดนมากกกกกกก ผมเป็นคนแรกที่ถูกใบสั่งให้เข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งที่ควรจะอยู่แดนแรกรับเพราะคดีเพิ่งส่งฟ้อง มาถึงก็ได้รับการต้อนรับจากหัวหน้าแดนอย่างสาสม โดยเฉพาะช่วงที่มีผู้ต้องขังเสื้อแดงทยอยกันเข้ามา เกือบทุกคน ยกเว้นบางกรณี เช่น มีอายุ หรือพิการ จะได้รับ “การต้อนรับ” อย่างทั่วถึง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้ดูแลแดนนี้ถึงรักคนเสื้อแดงนัก”

“โชคดีว่าเจฟและคอเนอร์เป็นฝรั่ง จึงได้เข้ามาอยู่แดนนี้อย่างปลอดภัย ไม่งั้นก็คงไม่รอด น่าแปลกมากที่คนไทยด้วยกันเองปฏิบัติกับคนไทยด้วยกันอย่างไร้เกียรติ ยิ่งเป็นคนเสื้อแดงด้วยแล้วมันกลายเป็นพวกคนเลวทันทีในสายตาผู้คุมที่นี่”

“ถามเรื่องความเป็นอยู่ของฝรั่งสองคนนี้น่ะหรือ ทั้งเจฟและคอเนอร์ปรับตัวให้เข้ากับการอยู่ที่นี่ได้อย่างดี อาจมีวันแรกๆ นั่นแหละที่อาจขลุกขลักซักนิด เพราะเค้าสองถูกย้ายแดนมากรณีพิเศษ ปกติแล้วที่เรือนจำนี้จะมีการจำแนกผู้ต้องขังทุกๆ วันพฤหัส แต่สองคนนี้ได้เข้ามาก่อน อาจเพราะคอเนอร์มีปัญหาถูกทำร้ายจากแดน 1 ก็ได้”

“คืนแรก เจฟถูกจับยัดมาในห้อง 10 ขณะนั้นแน่นขนัดแทบไม่มีที่จะนอนแล้ว จึงทำให้ “ขาใหญ่” ประจำห้องที่เป็นอดีตนายตำรวจ (ที่โดนคดียาบ้านแล้วขู่เรียกเงินผู้บริสุทธิ์หลายราย ท้ายที่สุดโดนผู้เสียหายแจ้งความกลับกว่า 200 คดี ปิดฉากมือปราบยาเสพติด) ไม่พอใจ และผมคิดว่าเค้าคนนี้จึงมีอคติกับเจฟตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เนื่องจากเจฟเป็นคนตลกและพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย จึทำให้เข้ากับผู้ต้องขังในห้องได้เร็วและไม่มีปัญหาใดๆ”

“ส่วนคอเนอร์น่ะเหรอ เค้าสร้างวีรกรรมที่ห้อง 2 ซึ่งผมไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ มารู้อีกทีก็ตอนเช้าของอีกวันที่มีคนมาบอกว่า “ฝรั่งเสื้อแดงเพื่อนคุณเกือบโดนรุมกระทืบเมื่อคืน” ผมถามว่าทำไมหรือ? พวกที่นอนอยู่ห้อง 2 ก็บอกว่าให้ผมเดินไปดูด้วยตัวเองจะดีกว่า ปรากฏว่าเมื่อผมเดินไปดูก็พบ “ข้อความที่เขียนด้วยปากกาเต็ม 2 ฝั่งผนังห้อง” ข้อความเหล่านั้นเขียนเป็นภาษาอังกฤษมีเนื้อหาเกี่ยวกับประชาธิปไตยล้วนๆ มีข้อความด่ารัฐบาล ระบบรัฐธรรมนูญไทย และข้อความแสดงความไม่พอใจที่เขาถูกจับกุม เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ผมเห็นแล้วนึกสงสัยทันทีเลยว่า อีตานี่ท่าทางจะติงต๊องแน่เลย ฮ่า”

“รายละเอียดส่วนตัวของแต่ละคนเหรอ เจฟเป็นคนอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษชัดเจนมาก ค่อยยังชั่วหน่อยฟังสบาย เสน่ห์ของเจฟอยู่ที่การพูดจาครับ เค้าเป็นคนพูดจาสนุกสนานติดตลก เป็นคนอารมณ์ดีน่ะ เข้ากับคนง่ายแถมยังพูดภาษาไทยได้นิดหน่อยด้วย เวลาเค้าไปไหนมาไหนจะสะพายกระเป๋าสีดำคู่ใจไปด้วยเสมอ ในกระเป๋ามีทุกอย่างที่ถูกจับยัดๆ เข้าไป เวลาจะหยิบใช้อะไรทีต้องเสียเวลาหากันให้วุ่น เจฟเป็นคนขี้อายมากๆ เลยนะแม้จะตัวใหญ่เหมือนหมี หรือเรียกว่ามีคุณลักษณะที่เป็นนักเลงได้ มันจึงไม่แปลกที่ผมมักเห็นเขาแอบเข้าห้องน้ำตอนตี 3 ซึ่งคนอื่นหลับหมดแล้วบ่อยๆ เจฟเป็นคนรักครอบครัว เค้ามีภรรยาคนไทยอยู่ที่พัทยา และมีลูกติดภรรยา 1 คนซึ่งเจฟรักมาๆ และมักจะบ่นคิดถึงลูกเสมอพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เจฟรู้ดีว่าผมก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน บ่อยครั้งเราจึงคุยกันเรื่องลูกด้วยน้ำตาคลอเบ้าทั้งคู่แล้วก็พากันปลอบใจกันไปมา

“ส่วนคอเนอร์ เค้าเป็นฝรั่งที่พูดเร็วมาก เป็นคนพูดจาสนุกสนานอยู่แต่จะไม่โผงผางอย่างเจฟ คอเนอร์รูปร่างใหญ่ อุดมไปด้วยมัดกล้าม สมกับที่เคยเป็นทหารมาก่อน เค้าจะสะพายกระเป๋าไปไหนมาไหนเหมือนเจฟ เป็นกระเป๋าโดราเอมอนเหมือนกัน ที่สำคัญ ไม่เคยล้างเหมือนกัน คอเนอร์เป็นคนกินง่าย อะไรๆ ก็กินได้ ผมมักจะเห็นเค้าเปิดปลากระป๋องแล้วเทลงคอเอื๊อกๆ เคี้ยวกลืนลงคออยู่บ่อยๆ โดยไม่กินข้าวหรือขนมปังตามเลย เวลาส่วนใหญ่ของคอเนอร์จะถูกใช้ไปกับการอ่านและเขียนหนังสือ ทุกวันเวลาบ่ายโมงคอเนอร์จะออกกำลังกายที่ลานออกกำลังกาย ที่มักเห็นประจำคือการฝึกชกมวยกับผู้ต้องขังที่พอจะเป็นมวยอยู่บ้าง ซึ่งผมขอบาย เค้าเป็นคนรักสุขภาพมาก แต่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความสะอาดเท่าไหร่ - -‘’บางคนบอกผมว่าคอเนอร์คงชินกับการเป็นทหารมาก่อนที่สอนให้นอนกลางดินกินกลางทรายได้ เหตุผลนี้จึงทำให้ผมเข้าใจเขาได้มากขึ้นหน่อย อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของผมแล้ว คอเนอร์เป็นคนที่มีความรู้มากจริงๆ ในทุกๆ ด้าน ถามอะไรก็รู้หมด”

“แน่ล่ะ การมาอยู่ในนี้นานๆ เป็นบททดสอบความแข็งด้านของหัวใจเป็นอย่างดี เขาทั้งสองมีมุมอ่อนแอที่ผมแอบเห็นด้วย สำหรับเจฟช่วงแรกๆ ที่เข้ามาและอยู่ห้องเดียวกับผม ผมมีโอกาสดูแลเค้า พูดคุยกับเค้า เจฟหวังว่าจะได้รับการประกันตัว ซึ่งก็เหมือนกับคนอื่นๆ รวมถึงผมด้วย แต่พอไม่ได้ประกันก็ทำให้เจฟฟิวส์หลุดไปบ้าง เช่น การยืนเกาะลูกกรงเหล็กแล้วมองออกไปข้างนอกถนนแล้วน้ำตาคลอ บางทีเราจะเห็นเค้านอนอยู่เฉยๆ แล้วเอาหมัดทุบไปที่หัวตัวเองอย่างแรงแล้วก็ร้องไห้ ผมเข้าใจเลยว่ามันคือจุดที่สุดจะกลั้นแล้ของเจฟ หลังๆ เขาเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง และผมก็ต้องเข้าไปปลอบเค้าทุกครั้ง เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ อันนี้ผมขอบอกเลยว่าเฉพาะกับคนเสื้อแดงเท่านั้นนะ คือ เวลาที่เราท้อแท้ ผิดหวัง เสียใจ (ในคุก) มันจะไประบายทางอื่นไม่ได้เลย ดังนั้นการที่พวกเราได้ปลอบใจกันเอง ในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันมันเหมือนยาวิเศษจริงๆ เวลาที่เจฟท้อแท้สิ้นหวัง ร้องไห้เสียใจ ผมจะเข้าไปจับมือเค้าแล้วพูดปลอบใจ ซักพักเจฟก็หาย บางทีอาจเป็นเพราะเจฟก็รู้ว่าผมก็ไม่ต่างจากเค้าทำให้เค้าคุมอารมณ์ได้เร็ว แต่ผมกลับมาเครียดเสียเอง ฮา”

“ส่วนคอเนอร์นั้นแทบจะบอกได้เลยว่าไม่เคยเห็นน้ำตาหรือการแสดงอาการเศร้า เสียใจ อ่อนแอจากเค้าเลย ยกเว้นเรื่องเดียวที่ทำให้เค้าเครียดมากที่สุด คือ ตอนที่ทางเรือนจำมีคำสั่ง “งดเยี่ยมญาติ” เพราะสาเหตุที่คอเนอร์เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทตอนเข้ามาอยู่แดนแรกรับใหม่ๆ การตัดสินและมีคำสั่งแบบนั้นทำให้คอเนอร์ไม่พอใจมาก เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีการตั้งคณะกรรมการสอบ มีการสอบคู่กรณีแต่ไม่มีการสอบคอเนอร์ ท้ายสุดเลยมีคำสั่งให้ลงโทษงดเยี่ยมญาติทั้งคู่กรณี 3 คนรวมคอเนอร์ด้วยเป็นเวลา 1 เดือน แรกๆ ดูเหมือนคอเนอร์จะไม่คิดอะไร แต่พอผ่านไปสักอาทิตย์ คอเนอร์ก็เริ่มแสดงอาการซึมเศร้า ไม่ยิ้มแย้มแบบเมื่อก่อน ขึ้นอนก็จะนอนเงียบๆ ตามองเพดานโดยไม่พูดไม่จา โธ่ ใครจะไปทนได้ครับ ผมสาบานได้ นักโทษ ผู้ต้องขังทุกคนในนี้ เฝ้ารอคอยการมาเยือนของญาติกันทั้งนั้น การได้พบคนอื่นบ้างมันจะทำให้มีชีวิตชีวา เมหือนมีการเติมพลังให้ชีวิต ผมเองยังเป็นอยู่บ่ายๆ อย่างที่คุณมาเยี่ยมผม มาคุยกับผม ผมก็ดีใจนะ แล้วก็รู้สึกสดชื่นด้วย มาเฉยๆ ไม่ต้องซื้อของฝากก็ได้ ก็แหม 24 ชั่วโมงอยู่แต่ในกรอบสี่เหลี่ยม ได้เจอคนอื่นได้พูดคุยกับคนรู้จัก มันเป็นสิ่งวิเศษจริงๆ ดังนั้น ไม่แปลกที่จะเห็นคอเนอร์คนเหล็กของเราหงอยลงถนัดตาตอนห้ามเยี่ยมญาติ”

“ข้อหาที่สองคนนี้โดนเหรอ ก็อย่างที่เป็นข่าว คือ โดนข้อหา “ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ด้วยกันทั้งคู่ แต่เพราะเป็นชาวต่างชาติ ศาลจึงไม่ให้ประกันตัวเพราะกลัวหลบหนี ดังนั้น ศาลจึงมีการนัดขึ้นศาลโดยทิ้งช่วงเป็นเวลานาน เจฟเอง ช่วงหลังๆ เริ่มเครียดและหงุดหงิดง่าย เลยทำให้สุขภาพเขาทรุดลงไปด้วย เริ่มจากเกิดแผลที่เท้า เน่าจนเดินไมได้ เจฟจึงถูกส่งให้ไปพักฟื้นที่แดนพยาบาลระยะหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นแกนนำก็มีการย้ายจากคลองเปรมมาที่นี่ และมีการกระจายแกนนำไปยังแดนต่างๆ บางคนก็ย้ายมาอยู่แดนผมนี่ด้วย แต่เขาสั่งห้ามเสื้อแดงอยู่ห้องเดียวกัน แต่ย้ายไปย้ายมาคนเสื้อแดงคงเยอะเกิน มันเลยมาลงให้ทำให้ ผม เจฟ และคอเนอร์ได้อยู่ห้องเดียวกันเฉยเลย ไม่กี่วันถัดมาเจฟก็ได้ขึ้นศาล โดยเจฟเลือกทาง “รับสารภาพ” จึงทำให้เจฟได้กลับบ้านเลยในทันที เพราะจำคุกมาเกินกว่าโทษที่ตัดสินมา”

“ ... แล้วเจฟก็มาลาผมและคอเนอร์ หน้าตาเปื้อนรอยยิ้ม เคล้าน้ำตา ผมกับคอเนอร์ได้สัมผัสมือเจฟเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะให้สัญญากันว่าออกไปแล้วจะไม่ลืมกัน และเราจะพบกันใหม่ข้างนอก การจากไปของเจฟในครั้งนี้ ทำเอาผมใจหาย และนึกใจด้วยว่าเมื่อไหร่จะเป็นวันของผมบ้าง...”

“ความประทับใจในตัวเจฟเหรอ เอาเรื่องที่ประทับใจสุดก่อนนะ ตอนเค้ามาห้อง 10 ใหม่ๆ มีคนถามเจฟในทำนองดูถูกเหยียดหยามและหยาบคายว่า “เป็นฝรั่งเอี้ยอะไรเสือกมายุ่งกับเสื้อแดง ฝรั่งแม่งเกี่ยวอะไร” เจฟตอบเค้าในทันที โดยมีผมทำหน้าที่แปล เจฟตอบว่า “เค้าเองก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกถ้ามันไม่จำเป็นจริงๆ แต่บังเอิญเค้ามีลูกสาวคนไทย มีเมียคนไทย เค้าจึงจำเป็นต้องออกมาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่ออนาคตของลูกสาวของเค้า” คำตอบนี้ทำเอาคนถามหน้าหงายกลับไป พร้อมกับคำพูดแถมจากผมว่า “เป็นไงล่ะ อายฝรั่งมั้ย แล้วเอ็งเคยคิดทำอะไรให้ประเทศมั่งมั้ย” ...หมอนี่มันทำให้ผมได้ยิ้มระรื่นด้วยความสะใจไปทั้งวัน”

“เจฟไปแล้ว แล้วคอเนอร์เป็นยังไงน่ะเหรอ แน่ล่ะ เจฟได้กลับบ้านเพราะรับสารภาพ ประเด็นนี้เป็นเรื่องท้าทายบุรุษผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างคอเนอร์มาก เขามีความเชื่อ ความมุ่งมั่นว่า “ถ้าผมไม่ผิด ผมก็จะสู้จนวินาทีสุดท้าย” ดังนั้นเค้าจึงยืนกรานมาตลอดว่าจะ “สู้” เพื่อชนะคดีให้ได้ แม้จะมีคนใกล้ชิดมาหว่านล้อม ขอร้องให้เค้ารับสารภาพเพื่อจะได้รับการพิจารณาแบบเดียวกับที่เจฟได้รับก็ตาม”

“มีอยู่วันหนึ่ง คอเนอร์ได้รับจดหมายจากคนใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งที่มาเยี่ยม ดูแล เอาใจใส่ให้คอเนอร์อยู่ตลอด เนื้อความในจดหมายเขียนยกย่องในความเป็นนักต่อสู้ของคอเนอร์ และเข้าใจ แล้วก็เคารพการตัดสินใจของคอเนอร์ทุกอย่าง แต่ถึงยังไงเค้าก็ยังห่วงคอเนอร์ และอยากให้คอเนอร์ห่วงเค้าด้วยเช่นกัน....” เมื่อผมอ่านจบแล้ว คอเนอร์ถามกลับผมว่า ถ้าเป็นผม ผมจะตัดสินใจยังไง? จริงๆ แล้วผมบอกตามตรงว่าใจหายที่จะตอบ เพราะใจหนึ่งผมก็เห็นแก่ตัวสุดๆ อยากให้คอเนอร์อยู่เป็นเพื่อนผมไปก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เพื่อนพ้นทุกข์จากตรงนี้ ผมจึงตอบไปว่า “รับเถอะ” ถ้าแน่ใจว่ารับแล้วโทษจะตัดมาเท่าเจฟ...”

“ก่อนวันขึ้นศาลประมาณ 2 สัปดาห์ ผมแน่ใจแล้วว่า คอเนอร์เลือกเส้นทางแบบเจฟ จึงได้ปรึกษาหารือกันในกิจกรรมที่ผมจะทำกับคอเนอร์เมื่อได้ออกไป แล้วผลคำพิพากษาก็ออกมาในแนวทางเดียวกับเจฟ เย็นวันนั้น ผมได้สัมผัสมือกับคอเนอร์ผ่านลูกกรงประตูเป็นครั้งสุดท้าย กับคำมั่นสัญญาว่าเค้าจะช่วยเหลือผมและลูกอย่างแน่นอน .. และปัจจุบันคอเนอร์ก็ได้ยืนยันคำพูดนั้น ผ่านการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ทำให้ผมและคนเสื้อแดงมาโดยตลอดเท่าที่เขาจะทำได้”

“เขาสองคนจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป หวังว่าเราได้เจอกัน..ข้างนอกนั่น”

No comments:

Post a Comment